๑ โครินธ์ 6:12 |
มีบางคนพูดว่า “ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้” แต่ผมว่าสิ่งที่ทำไปนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์ไปเสียทุกเรื่องหรอกนะครับ อย่างที่บางคนพูดว่า “ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้” แต่ผมจะไม่ยอมให้อะไรมาครอบงำผมหรอก |
|
๑ โครินธ์ ๑๐:๗ |
เราต้องไม่บูชารูปเคารพเหมือนกับที่พวกเขาบางคนทำ พระคัมภีร์บอกไว้ว่า “ผู้คนนั่งลงกินดื่ม และลุกขึ้นมาเต้นรำมั่วสุมทางเพศ” |
|
๑ โครินธ์ ๑๕:๓๒ |
ถ้าผมต่อสู้กับพวกสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัส (เปรียบเทียบให้ฟังนะครับ) ผมจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าคนตายไม่ฟื้น “ก็ให้กินและดื่มไปเลย เพราะพรุ่งนี้เราก็จะตายอยู่แล้ว” |
|
เฉลยธรรมบัญญัติ ๒๑:๒๐ |
พ่อแม่ต้องบอกผู้นำของเมืองนั้นว่า ‘ลูกชายของเราคนนี้ดื้อรั้นและพยศ ไม่ยอมเชื่อฟังเรา เขากินเติบและขี้เมา’ |
|
เอเสเคียล ๑๖:๔๙ |
ความผิดที่โสโดมน้องสาวของเจ้าและลูกสาวทั้งหลายของนางทำ คือความเย่อหยิ่งจองหอง พวกเขาอยู่ดีกินดี สบายจนไม่สนใจคนอื่น ไม่ยื่นมือช่วยคนยากจนและคนขัดสน |
|
ปฐมกาล ๓:๖ |
หญิงนั้นมองดู และเห็นว่าต้นไม้นั้นมีผลน่ากินมาก มันช่างสวยงาม และยั่วยวนใจเหลือเกิน เพราะมันสามารถทำให้คนเฉลียวฉลาดได้ หญิงนั้นจึงเด็ดเอาผลของมันมากิน แล้วเธอก็ส่งให้สามีของเธอกินด้วย และเขาก็กินมัน |
|
ฟีลิปปี ๓:๑๙ |
ว่าคนพวกนั้นจะถูกทำลายไปในที่สุด พระเจ้าของเขาก็คือ ความอยากของปากท้องของเขาเอง และพวกเขาชอบคุยโวในสิ่งที่เขาควรจะอับอาย และพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งของในโลกนี้ |
|
สุภาษิต ๒๓:๒ |
ถ้าเจ้าเป็นคนกินจุ ก็ให้ยับยั้งใจไว้บ้าง |
|
สุภาษิต ๒๓:๒๑ |
เพราะคนขี้เมาและคนกินเติบจะยากจน สะลึมสะลือตลอดเวลาจนเหลือแต่ผ้าขี้ริ้วห่อตัว |
|
สุภาษิต ๒๘:๗ |
ลูกที่ฉลาด ก็เชื่อฟังกฎของพระเจ้า แต่ลูกที่คบกับคนเสเพล นำความอับอายมาสู่พ่อของเขา |
|
สดุดี ๑๑๙:๗๐ |
คนพวกนั้นโง่เขลา แต่ข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับคำสั่งสอนของพระองค์ |
|
โรม ๑๓:๑๔ |
แต่ให้สวมใส่พระเยซูคริสต์เจ้า และอย่าให้ความสนใจกับกิเลสตัณหาที่มาจากสันดานเลย |
|
ทิตัส ๑:๑๒ |
ขนาดคนหนึ่งของเขาเองที่เป็นคนพูดแทนพวกพระเจ้าของพวกเขายังพูดเลยว่า “ชาวเกาะครีต พูดโกหกเสมอ เป็นเหมือนสัตว์ป่าที่ดุร้าย เป็นคนขี้เกียจและตะกละตะกลาม” |
|
สุภาษิต ๒๓:๒๐-๒๑ |
[๒๐] อย่าได้ไปคลุกคลีกับพวกที่ดื่มเหล้าองุ่นจัด หรือพวกนั้นที่กินเนื้ออย่างตะกละตะกลาม[๒๑] เพราะคนขี้เมาและคนกินเติบจะยากจน สะลึมสะลือตลอดเวลาจนเหลือแต่ผ้าขี้ริ้วห่อตัว |
|
๑ โครินธ์ ๖:๑๙-๒๐ |
[๑๙] พวกคุณไม่รู้หรือว่าร่างกายของพวกคุณเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าให้พระวิญญาณนี้อยู่ในตัวพวกคุณ พวกคุณก็เลยไม่ได้เป็นเจ้าของตัวเองอีกต่อไป[๒๐] เพราะพระเจ้าซื้อพวกคุณมาด้วยราคาแพง ดังนั้นขอให้ใช้ร่างกายของคุณให้เกียรติกับพระเจ้า |
|
สดุดี ๑๑๕:๔-๘ |
[๔] แต่พวกพระเจ้าของชนชาติต่างๆนั้นสิ เป็นแค่รูปปั้นทองและเงิน เป็นแค่ฝีมือมนุษย์[๕] พวกรูปปั้นนั้น มีปากแต่พูดไม่ได้ มีตาแต่มองไม่เห็น[๖] มีหูแต่ฟังไม่ได้ มีจมูกแต่ดมกลิ่นไม่ได้[๗] มีมือแต่รู้สึกไม่ได้ มีเท้าแต่เดินไม่ได้ และไม่มีเสียงออกมาจากลำคอของพวกมัน[๘] คนเหล่านั้นที่สร้างพวกรูปปั้นนั้น ในที่สุดก็จะเป็นอย่างรูปปั้นนั้น คนเหล่านั้นที่ไว้วางใจในพวกรูปปั้นนั้น ก็จะจบลงอย่างนั้นเหมือนกัน |
|
โรม ๑๔:๑๓-๑๗ |
[๑๓] ดังนั้นหยุดกล่าวโทษกันได้แล้ว แต่ให้ตั้งใจว่าจะไม่เป็นต้นเหตุทำให้พี่น้องสะดุดล้มไปทำบาป[๑๔] ในฐานะคนของพระเยซูเจ้า ผมรู้และเชื่อมั่นว่า อาหารทุกชนิดกินได้หมด แต่ถ้าคนไหนคิดว่ากินแล้วผิด มันก็ผิดสำหรับคนนั้น[๑๕] ถ้าอาหารที่คุณกินนั้น ไปทำร้ายจิตใจของพี่น้องคุณ แสดงว่าคุณไม่ได้ทำตามความรัก ดังนั้นอย่าให้การกินของคุณไปทำลายคนที่พระคริสต์ยอมตายให้เลย[๑๖] ที่คุณเชื่อว่ากินได้ทุกอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่อย่าให้ความเชื่อของคุณนี้ ทำให้คนอื่นดูถูกเอาได้[๑๗] เพราะอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้เป็นเรื่องของอาหารและเครื่องดื่ม แต่เป็นเรื่องของการทำตามใจพระเจ้า เรื่องสันติสุข และเรื่องความชื่นชมยินดีที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ |
|
สดุดี ๗๘:๒๖-๓๑ |
[๒๖] แล้วพระเจ้าก็ทำให้ลมจากทิศ-ตะวันออกเฉียงใต้พัดมาตรงที่พวกเขาอยู่ และให้ฝูงนกตกลงมาจากท้องฟ้า[๒๗] พระองค์เทเนื้อลงบนพวกเขาอย่างพายุฝุ่น มีนกมากมายเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล[๒๘] นกพวกนี้ตกลงไปในค่าย รอบๆเต็นท์ของพวกเขา[๒๙] พระเจ้าให้สิ่งที่พวกเขาอยากได้ และพวกเขาก็กินจนอิ่มตื้อ[๓๐] แต่ในระหว่างที่เขายังกินอาหารที่อยากกินอยู่นั้น ขณะที่มันยังคาอยู่ในปาก[๓๑] จู่ๆความโกรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นใส่พวกเขา พระองค์ฆ่าคนที่แข็งแรงที่สุดของพวกเขาบางคน พระองค์โค่นพวกคนหนุ่มที่ดีที่สุดของอิสราเอล |
|
๒ ทิโมธี ๓:๑-๙ |
[๑] รู้เอาไว้เถอะว่า ในช่วงเวลาสุดท้ายจะเป็นเวลาที่ลำบากมาก[๒] จะมีแต่คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน โอ้อวด จองหอง ชอบด่าว่าคนอื่น ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ไม่รู้จักบุญคุณ ไม่มีศาสนาที่แท้จริง[๓] ไม่มีความรัก ไม่ให้อภัย ใส่ร้ายป้ายสี ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ โหดร้ายทารุณ ไม่รักดี[๔] คิดคดทรยศ ใจร้อนวู่วาม หัวสูง และรักสนุกแทนที่จะรักพระเจ้า[๕] พวกเขานับถือศาสนาที่แท้จริงแต่เพียงเปลือกนอก แต่ไม่ยอมให้ฤทธิ์อำนาจของศาสนาที่แท้จริงนั้นเปลี่ยนชีวิตเขา คุณจะต้องอยู่ให้ห่างจากคนพวกนี้[๖] มีบางคนย่องเข้าไปตามบ้านต่างๆ ไปจูงจมูกพวกผู้หญิงหัวอ่อนและบาปหนา ที่ถูกกิเลสตัณหาต่างๆลากไป[๗] พวกผู้หญิงเหล่านี้ชอบที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆอยู่เรื่อย แต่ก็ไม่เคยเข้าใจอย่างแตกฉานในเรื่องของความจริงเลย[๘] ยันเนสและยัมเบรส์ต่อต้านโมเสสอย่างไร พวกนี้ก็ต่อต้านความจริงอย่างนั้น คนพวกนี้มีจิตใจที่เสื่อมทราม และความเชื่อของเขาก็จอมปลอม[๙] พวกนี้ไปได้ไม่กี่น้ำหรอก เดี๋ยวความโง่ของพวกเขาก็จะโผล่ออกมาให้ทุกคนเห็น เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับยันเนสและยัมเบรส์ |
|
กันดารวิถี ๑๑:๑๘-๓๔ |
[๑๘] ให้บอกกับประชาชนว่า ‘ชำระตัวของเจ้าให้บริสุทธิ์สำหรับวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เจ้าจะได้กินเนื้อ เพราะเจ้าได้ร้องคร่ำครวญต่อหน้าพระยาห์เวห์ว่า “ใครจะเอาเนื้อมาให้พวกเรากิน อยู่ที่อียิปต์ดีกว่านี้เยอะเลย” พระยาห์เวห์จะให้เนื้อกับพวกท่าน และพวกท่านจะได้กินมัน[๑๙] ท่านจะไม่ได้กินแค่วันสองวันหรือห้าวัน หรือสิบวันหรือยี่สิบวันเท่านั้น[๒๐] แต่ท่านจะได้กินตลอดทั้งเดือน จนมันทะลักออกมาทางจมูก ท่านจะกินจนขยะแขยงไปเลย มันจะเป็นอย่างนี้ เพราะท่านปฏิเสธพระยาห์เวห์ที่อยู่ท่ามกลางท่าน และมาร้องคร่ำครวญต่อหน้าพระองค์ว่า “ทำไมเราถึงต้องออกมาจากอียิปต์กัน”’”[๒๑] โมเสสพูดว่า “มีทหารเดินเท้าตั้งหกแสนคนอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่ แต่พระองค์ยังพูดว่า ‘เราจะให้เนื้อสัตว์กับพวกเขากินกันทั้งเดือน’[๒๒] ถึงฆ่าแกะและวัวหมดทั้งฝูง ก็ยังไม่พอให้พวกเขากินเลย ถึงจับปลามาหมดทะเล ก็ยังไม่พอเลี้ยงพวกเขาเลย”[๒๓] พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เจ้าคิดว่ามือของพระยาห์เวห์สั้นไปหรือยังไง เดี๋ยวเจ้าจะได้เห็นว่าสิ่งที่เราพูดนั้นจะเกิดขึ้นกับเจ้าไหม”[๒๔] โมเสสออกไปบอกกับประชาชนว่าพระยาห์เวห์พูดอะไร โมเสสได้รวบรวมผู้อาวุโสของอิสราเอลมาเจ็ดสิบคน โมเสสให้พวกเขามายืนอยู่รอบๆเต็นท์[๒๕] แล้วพระยาห์เวห์ได้ลงมาในเมฆ และพูดกับโมเสส พระองค์เอาวิญญาณบางส่วนที่อยู่กับโมเสส ไปใส่ไว้ในผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนนั้น เมื่อพระวิญญาณเข้าไปอยู่ในตัวพวกเขา พวกเขาก็ตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดี แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยทำอย่างนั้นอีกเลย[๒๖] ยังมีผู้อาวุโสสองคนที่ไม่ได้มา แต่ยังคงอยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนชื่อเมดาด พระวิญญาณก็เข้าไปอยู่ในตัวพวกเขา พวกเขาก็อยู่ในกลุ่มของผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนนั้นด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ไปที่เต็นท์ ดังนั้น พวกเขาจึงตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดีอยู่ในค่าย[๒๗] ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาบอกกับโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังตะโกนพระคำด้วยความยินดีอยู่ในค่าย”[๒๘] โยชูวาลูกชายของนูน พูดกับโมเสสว่า “โมเสส นายท่าน หยุดพวกเขาเถิด” โยชูวา เป็นผู้ช่วยของโมเสสตั้งแต่โยชูวายังเป็นหนุ่ม[๒๙] แต่โมเสสพูดกับโยชูวาว่า “อิจฉาแทนเราหรือ เราอยากจะให้คนของพระยาห์เวห์ทุกคนตะโกนพระคำออกมาด้วยความยินดี เราอยากให้พระยาห์เวห์ใส่พระวิญญาณลงในตัวพวกเขา”[๓๐] แล้วโมเสสและผู้อาวุโสของอิสราเอลก็กลับเข้าค่าย[๓๑] มีลมพัดมาจากพระยาห์เวห์ และได้พาเอานกคุ่มมาจากทะเลมาตกกระจัดกระจายอยู่รอบค่าย มีนกคุ่มมากมายทั่วทุกทิศ มีระยะทางยาวเท่ากับคนเดินหนึ่งวัน และมันตกทับถมกันสูงถึงสองศอก[๓๒] ผู้คนต่างออกไปเก็บนกคุ่มพวกนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืนไปจนกระทั่งถึงอีกวันหนึ่งเต็มๆ พวกเขาเก็บได้อย่างน้อยคนละสองพันสองร้อยลิตร พวกเขาตากนกคุ่มไปทั่วค่าย[๓๓] ในระหว่างที่เนื้อยังอยู่ระหว่างฟัน ยังไม่ทันกัดกินกันเลย พระยาห์เวห์ก็โกรธพวกเขา พระองค์ทำให้พวกเขาเป็นโรคระบาดอย่างร้ายแรง[๓๔] พวกเขาจึงตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า ขิบโรท-หัทธาอาวาห์ เพราะที่นั่นพวกเขาได้ฝังศพของคนที่กระหายอยากกินเนื้อสัตว์ |
|
Thai Bible (ERV) 2001 |
Copyright © 2001 by Bible League International |