มัทธิว 19:9 |
เราจะบอกให้รู้ว่า ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้ นอกจากเขาจะหย่าเพราะภรรยาทำบาปทางเพศเท่านั้น” |
|
มัทธิว 5:32 |
แต่เราจะบอกคุณว่า ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นหย่าเพราะเรื่องการทำบาปทางเพศ ก็ทำให้ภรรยามีชู้เมื่อเธอไปแต่งงานใหม่ และผู้ชายที่มาแต่งงานกับเธอก็ถือว่ามีชู้ด้วย |
|
ลูกา 16:18 |
ผู้ชายที่หย่ากับภรรยาของตนแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้ และผู้ชายที่มาแต่งงานกับหญิงที่หย่าร้างนี้ ก็ถือว่ามีชู้ด้วย |
|
๑ โครินธ์ 7:10-11 |
[10] ตอนนี้ผมขอสั่งคนที่แต่งงานแล้วว่า (ไม่ใช่ผมสั่งหรอกแต่เป็นองค์เจ้าชีวิตต่างหาก) ภรรยาต้องไม่หย่าจากสามี[11] (แต่ถ้าเธอหย่า เธอก็ต้องอยู่เป็นโสด หรือไม่ก็ให้กลับไปคืนดีกับสามีของเธอ) และสามีก็จะต้องไม่หย่าภรรยาเหมือนกัน |
|
มัทธิว 5:31-32 |
[31] มีคำพูดว่า ‘ถ้าใครจะหย่ากับภรรยา ก็ให้ทำหนังสือหย่า ให้กับภรรยา’[32] แต่เราจะบอกคุณว่า ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นหย่าเพราะเรื่องการทำบาปทางเพศ ก็ทำให้ภรรยามีชู้เมื่อเธอไปแต่งงานใหม่ และผู้ชายที่มาแต่งงานกับเธอก็ถือว่ามีชู้ด้วย |
|
มัทธิว 19:3-9 |
[3] พวกฟาริสีบางคนมาหาพระองค์และทดสอบพระองค์โดยถามว่า “มันถูกกฎหรือเปล่าที่ผู้ชายจะหย่ากับภรรยาไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม”[4] พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่า ‘เมื่อเริ่มแรกพระผู้สร้างได้สร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง’[5] พระองค์พูดว่า ‘ผู้ชายจะแยกจากพ่อแม่ไปอยู่ร่วมกันกับภรรยาของเขา แล้วทั้งสองจะกลายเป็นคนๆเดียวกัน’[6] พวกเขาจึงไม่ใช่สองคนอีกต่อไป แต่เป็นคนๆเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ผูกพันเข้าด้วยกันแล้ว ก็อย่าให้ใครมาแยกออกจากกันเลย”[7] พวกฟาริสีจึงถามอีกว่า “แล้วทำไมโมเสสถึงสั่งให้ผู้ชายแค่เขียนใบหย่าให้กับภรรยา แล้วก็หย่าได้”[8] พระเยซูตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้พวกคุณหย่ากับภรรยาได้ เพราะคุณดื้อดึงไม่เชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรก[9] เราจะบอกให้รู้ว่า ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้ นอกจากเขาจะหย่าเพราะภรรยาทำบาปทางเพศเท่านั้น” |
|
มาระโก 10:2-12 |
[2] มีฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์ โดยถามว่า “มันถูกกฎหรือเปล่าที่ผู้ชายจะหย่ากับภรรยา”[3] พระองค์ย้อนถามว่า “แล้วโมเสสสั่งว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”[4] พวกเขาตอบว่า “โมเสสยอมให้ผู้ชายเขียนใบหย่าให้กับภรรยา แล้วก็หย่าได้”[5] พระองค์จึงพูดว่า “ที่โมเสสเขียนอย่างนั้นให้ ก็เพราะจิตใจของพวกคุณมันดื้อด้าน[6] แต่อันที่จริง ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว ‘พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง’[7] ผู้ชายถึงได้แยกจากพ่อแม่ไปอยู่ร่วมกันกับภรรยาของเขา[8] แล้วทั้งสองก็กลายเป็นคนๆเดียวกัน พวกเขาไม่ใช่สองคนอีกต่อไปแต่เป็นคนๆเดียวกัน[9] ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ผูกพันเข้าด้วยกันแล้วก็อย่าให้ใครมาแยกออกจากกันเลย”[10] เมื่อพวกเขาอยู่กันตามลำพังในบ้าน พวกศิษย์ก็ถามพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องนี้[11] พระองค์ตอบว่า “ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้[12] และถ้าหญิงที่หย่ากับสามีแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่านางมีชู้เหมือนกัน” |
|
๑ โครินธ์ 7:10-16 |
[10] ตอนนี้ผมขอสั่งคนที่แต่งงานแล้วว่า (ไม่ใช่ผมสั่งหรอกแต่เป็นองค์เจ้าชีวิตต่างหาก) ภรรยาต้องไม่หย่าจากสามี[11] (แต่ถ้าเธอหย่า เธอก็ต้องอยู่เป็นโสด หรือไม่ก็ให้กลับไปคืนดีกับสามีของเธอ) และสามีก็จะต้องไม่หย่าภรรยาเหมือนกัน[12] ตอนนี้ขอพูดถึงคนที่เหลือว่า (ตรงนี้ผมพูดเองนะครับ ไม่ใช่องค์เจ้าชีวิตพูด) ถ้าพี่น้องคนไหนมีภรรยาที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ และเธอตกลงใจที่จะอยู่กับเขา เขาก็ต้องไม่หย่ากับเธอ[13] ถ้าหญิงคนไหนมีสามีที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ และเขาตกลงใจที่จะอยู่กับเธอ เธอก็ต้องไม่หย่ากับเขา[14] เพราะสามีที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ก็บริสุทธิ์แล้ว เพราะภรรยาของเขาที่ไว้วางใจ ส่วนภรรยาที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ก็บริสุทธิ์แล้ว เพราะสามีของเธอที่ไว้วางใจ ไม่อย่างนั้นลูกๆของพวกคุณจะสกปรกต่อหน้าพระเจ้า แต่ความจริงตอนนี้ลูกๆของพวกคุณก็เป็นของพระเจ้าแล้ว[15] แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์อยากจะหย่า ก็ให้เขาหย่าไป พี่น้องที่ไว้วางใจในพระคริสต์คนนั้นก็เป็นอิสระแล้ว เพราะพระเจ้าเรียกให้พวกเรามาอยู่กันอย่างสงบสุข[16] คนที่เป็นภรรยาก็ไม่ต้องไปรั้งเขาไว้หรอก คุณแน่ใจหรือว่าคุณจะช่วยสามีที่ไม่ไว้วางใจในพระคริสต์ให้รอดได้ คนที่เป็นสามีก็เหมือนกัน คุณแน่ใจหรือว่าคุณจะช่วยภรรยาที่ไม่ไว้วางใจในพระคริสต์ให้รอดได้ |
|
มัทธิว 19:3-12 |
[3] พวกฟาริสีบางคนมาหาพระองค์และทดสอบพระองค์โดยถามว่า “มันถูกกฎหรือเปล่าที่ผู้ชายจะหย่ากับภรรยาไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม”[4] พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่า ‘เมื่อเริ่มแรกพระผู้สร้างได้สร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง’[5] พระองค์พูดว่า ‘ผู้ชายจะแยกจากพ่อแม่ไปอยู่ร่วมกันกับภรรยาของเขา แล้วทั้งสองจะกลายเป็นคนๆเดียวกัน’[6] พวกเขาจึงไม่ใช่สองคนอีกต่อไป แต่เป็นคนๆเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ผูกพันเข้าด้วยกันแล้ว ก็อย่าให้ใครมาแยกออกจากกันเลย”[7] พวกฟาริสีจึงถามอีกว่า “แล้วทำไมโมเสสถึงสั่งให้ผู้ชายแค่เขียนใบหย่าให้กับภรรยา แล้วก็หย่าได้”[8] พระเยซูตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้พวกคุณหย่ากับภรรยาได้ เพราะคุณดื้อดึงไม่เชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรก[9] เราจะบอกให้รู้ว่า ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้ นอกจากเขาจะหย่าเพราะภรรยาทำบาปทางเพศเท่านั้น”[10] พวกศิษย์พูดกับพระเยซูว่า “ถ้านั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ผู้ชายจะหย่าภรรยาได้ ก็อย่าแต่งงานเสียเลยจะดีกว่า”[11] พระเยซูตอบว่า “ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะรับคำสอนนี้ได้ แต่มีบางคนที่พระเจ้าทำให้รับได้[12] มีหลายเหตุผลที่คนไม่แต่งงาน บางคนเกิดมาเป็นขันที บางคนถูกจับตอน และบางคนไม่แต่งงานเพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ ถ้าใครสามารถอยู่เป็นโสดได้ ก็ไม่ควรแต่ง” |
|
มาระโก 10:12 |
และถ้าหญิงที่หย่ากับสามีแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่านางมีชู้เหมือนกัน” |
|
เฉลยธรรมบัญญัติ ๒๔:๑-๔ |
[1] ถ้าชายคนไหนรับผู้หญิงมาและแต่งงานกับนาง ต่อมาเขาเริ่มไม่พอใจนาง เพราะเขาค้นพบว่านางได้ไปทำสิ่งที่น่ารังเกียจ และถ้าเขาเขียนใบหย่าให้กับนางและส่งนางออกจากบ้านเขาไป[2] นางก็ออกจากบ้านเขาและไปเป็นเมียของชายคนอื่น[3] และถ้าสามีคนใหม่ก็ไม่ชอบนางเหมือนกัน และเขียนใบหย่าให้กับนางและส่งนางออกจากบ้านเขาไป หรือถ้าสามีคนใหม่ตาย[4] สามีคนแรกที่ส่งนางออกไปจากบ้านนั้น จะรับนางกลับไปเป็นเมียอีกไม่ได้แล้ว เพราะนางกลายเป็นคนที่ไม่บริสุทธิ์สำหรับเขาแล้ว เพราะพระยาห์เวห์เกลียดการกระทำนี้ และท่านต้องไม่นำบาปเข้ามาบนแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านกำลังจะยกให้กับท่านไว้เป็นเจ้าของ |
|
มาลาคี 2:16 |
พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลพูดว่า “ที่เราพูดอย่างนี้ ก็เพราะเราเกลียดการหย่าร้าง และเกลียดคนที่ปกปิดเสื้อผ้าของเขาด้วยรอยของความเหี้ยมโหด” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนั้น ดังนั้นให้ระวังจิตใจของพวกเจ้าและอย่าได้นอกใจเมีย |
|
๑ โครินธ์ 7:39 |
ผู้หญิงจะผูกมัดกับสามีของนางไปตลอดชีวิตของเขา เมื่อสามีตายนางก็เป็นอิสระ อยากจะไปแต่งงานกับใครก็แต่งได้ แต่ต้องเป็นคนที่มีความไว้วางใจในองค์เจ้าชีวิตเท่านั้น |
|
โรม 7:2-5 |
[2] ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องผูกมัดอยู่กับสามีตามกฎเมื่อสามีของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีของเธอตายไป เธอก็หลุดพ้นจากกฎการแต่งงานนั้น[3] แต่ถ้าสามีเธอยังมีชีวิตอยู่ แล้วเธอไปเป็นเมียชายอื่น ก็ถือว่าเธอคบชู้ แต่ถ้าสามีเธอตายแล้ว เธอก็เป็นอิสระจากกฎการแต่งงานนั้น และถ้าเธอไปเป็นเมียชายอื่น ก็ไม่ถือว่าเธอคบชู้[4] พี่น้องก็เหมือนกัน เป็นเพราะความตายของพระคริสต์ คุณเองถึงตายไปแล้วด้วยและเป็นอิสระจากกฎนั้นแล้ว เพื่อคุณจะได้เป็นของพระคริสต์ผู้ที่ฟื้นขึ้นจากความตาย และเพื่อที่เราจะได้เกิดผลสำหรับพระเจ้า[5] แต่ก่อนตอนที่เราใช้ชีวิตตามสันดานนั้น กฎก็กระตุ้นให้เกิดกิเลสตัณหาขึ้นมา แล้วกิเลสตัณหานี้ก็มาควบคุมอวัยวะในตัวเรา เราจึงไปทำสิ่งที่นำไปสู่ความตาย |
|
ฮีบรู 13:4 |
ขอให้ทุกคนให้เกียรติกับชีวิตสมรส และขอให้เตียงสมรสนั้นบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าจะลงโทษคนที่มีชู้และทำผิดทางเพศ |
|
เฉลยธรรมบัญญัติ ๒๔:๑ |
ถ้าชายคนไหนรับผู้หญิงมาและแต่งงานกับนาง ต่อมาเขาเริ่มไม่พอใจนาง เพราะเขาค้นพบว่านางได้ไปทำสิ่งที่น่ารังเกียจ และถ้าเขาเขียนใบหย่าให้กับนางและส่งนางออกจากบ้านเขาไป |
|
มัทธิว 19:4-6 |
[4] พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่า ‘เมื่อเริ่มแรกพระผู้สร้างได้สร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง’[5] พระองค์พูดว่า ‘ผู้ชายจะแยกจากพ่อแม่ไปอยู่ร่วมกันกับภรรยาของเขา แล้วทั้งสองจะกลายเป็นคนๆเดียวกัน’[6] พวกเขาจึงไม่ใช่สองคนอีกต่อไป แต่เป็นคนๆเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ผูกพันเข้าด้วยกันแล้ว ก็อย่าให้ใครมาแยกออกจากกันเลย” |
|
มัทธิว 18:15-17 |
[15] ถ้าพี่น้องทำบาปต่อคุณ ก็ให้ไปชี้แจงความผิดของเขาตัวต่อตัว ถ้าเขาฟัง คุณก็ได้เขากลับมาเป็นพี่น้องอีก[16] แต่ถ้าเขาไม่ยอมฟัง ก็ให้พาอีกคนหรือสองคนไปหาเขาด้วยกัน เพื่อจะได้มีพยานรู้เห็นสองหรือสามคน[17] ถ้าเขายังไม่ยอมฟังอีก ก็ให้เอาเรื่องนี้ไปบอกหมู่ประชุมของพระเจ้า และถ้าเขายังไม่ฟังแม้แต่หมู่ประชุมของพระเจ้า ก็ให้ทำกับเขาเหมือนกับเป็นคนนอกศาสนาหรือคนเก็บภาษี |
|
มาลาคี 2:14-16 |
[14] แล้วเจ้าก็ถามว่า “ทำไมพระเจ้าถึงไม่ยอมรับเรา” ก็เพราะพระยาห์เวห์เป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าและเมียที่เจ้าแต่งด้วยตั้งแต่เป็นหนุ่ม ผู้หญิงที่เจ้าได้นอกใจ ทั้งๆที่นางก็เป็นคู่ทุกข์คู่ยากของเจ้า และเป็นผู้หญิงที่เจ้าเคยให้คำมั่นสัญญาที่จะอยู่ด้วยตลอดไป[15] พระเจ้าต้องการให้สามีและภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อลูกที่เกิดมาจะได้อยู่ในแนวทางของพระองค์ ดังนั้นระวังจิตใจของพวกเจ้าให้ดี อย่าได้นอกใจเมียที่เจ้าแต่งด้วยตั้งแต่เป็นหนุ่ม[16] พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลพูดว่า “ที่เราพูดอย่างนี้ ก็เพราะเราเกลียดการหย่าร้าง และเกลียดคนที่ปกปิดเสื้อผ้าของเขาด้วยรอยของความเหี้ยมโหด” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนั้น ดังนั้นให้ระวังจิตใจของพวกเจ้าและอย่าได้นอกใจเมีย |
|
เอเฟซัส 5:22-23 |
[22] พวกคุณที่เป็นภรรยา ให้ยินยอมสามี เหมือนที่ยินยอมองค์เจ้าชีวิต[23] เพราะสามีคือศีรษะของภรรยา เหมือนกับที่พระคริสต์เป็นศีรษะของหมู่ประชุม คือพระองค์เองเป็นผู้ช่วยให้รอดของร่างกาย |
|
๑ ทิโมธี 5:8 |
แต่ถ้ามีใครไม่ยอมเลี้ยงดูญาติพี่น้องโดยเฉพาะครอบครัวของตัวเอง เขาก็ได้ทิ้งความเชื่อแล้ว และแย่ยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อเสียอีก |
|
๑ โครินธ์ 7:17-24 |
[17] แต่อย่างไรก็ตาม องค์เจ้าชีวิตได้กำหนดให้คุณอยู่ในสภาพไหนก็ให้อยู่ในสภาพนั้นตามที่พระเจ้าได้เรียกมา นี่แหละเป็นกฎที่ผมสั่งไว้ในทุกๆหมู่ประชุม[18] ตอนที่พระเจ้าเรียกนั้น ถ้ามีใครทำพิธีขลิบมาแล้ว ก็อย่าไปเปลี่ยนสภาพให้กลับมาเหมือนเดิมเลย หรือถ้ามีใครที่ยังไม่ได้ทำพิธีขลิบ ก็อย่าไปทำ[19] เพราะจะทำหรือไม่ทำพิธีขลิบก็ไม่ได้สำคัญอะไร สิ่งที่สำคัญคือการทำตามคำสั่งของพระเจ้า[20] ใครอยู่ในสภาพไหนตอนที่พระเจ้าเรียก ก็ให้อยู่ในสภาพนั้น[21] ถ้าเป็นทาสอยู่ก็ไม่ต้องกลุ้มใจ แต่ถ้ามีโอกาสเป็นอิสระก็ให้ฉวยเอาไว้[22] ตอนที่องค์เจ้าชีวิตเรียกนั้น คนที่เป็นทาสก็กลายเป็นคนอิสระขององค์เจ้าชีวิต ส่วนคนที่เป็นอิสระก็กลายเป็นทาสของพระคริสต์[23] พระเจ้าซื้อพวกคุณมาในราคาแพง ดังนั้นก็อย่าเป็นทาสของมนุษย์คนไหนเลย[24] พี่น้องครับ พระเจ้าเรียกให้คุณมาอยู่ในสภาพไหน พวกคุณแต่ละคนก็ควรจะอยู่ในสภาพนั้นต่อหน้าพระเจ้า |
|
มัทธิว 23:23 |
น่าละอายจริงๆพวกเจ้าที่เป็นครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าได้ให้หนึ่งในสิบส่วนของทุกอย่างที่เจ้ามีกับพระเจ้า แม้แต่สะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า เจ้าก็ให้ แต่พวกเจ้ากลับมองข้ามเรื่องที่สำคัญกว่าในกฎปฏิบัตินั้น คือความยุติธรรม ความเมตตา และความซื่อสัตย์ การให้หนึ่งในสิบส่วนนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ควรทิ้งคำสอนที่สำคัญกว่านี้ด้วยเหมือนกัน |
|
โรม 7:1-3 |
[1] พี่น้องครับ พวกคุณไม่รู้หรือว่ากฎนั้นมีอำนาจเหนือมนุษย์เฉพาะตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น (คุณก็คุ้นเคยกับกฎดีอยู่แล้ว)[2] ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องผูกมัดอยู่กับสามีตามกฎเมื่อสามีของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีของเธอตายไป เธอก็หลุดพ้นจากกฎการแต่งงานนั้น[3] แต่ถ้าสามีเธอยังมีชีวิตอยู่ แล้วเธอไปเป็นเมียชายอื่น ก็ถือว่าเธอคบชู้ แต่ถ้าสามีเธอตายแล้ว เธอก็เป็นอิสระจากกฎการแต่งงานนั้น และถ้าเธอไปเป็นเมียชายอื่น ก็ไม่ถือว่าเธอคบชู้ |
|
ลูกา 6:30 |
ถ้ามีใครมาขออะไรจากคุณก็ให้เขาไป และถ้ามีใครเอาของๆคุณไป ก็อย่าทวงคืน |
|
มัทธิว 19:6-12 |
[6] พวกเขาจึงไม่ใช่สองคนอีกต่อไป แต่เป็นคนๆเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ผูกพันเข้าด้วยกันแล้ว ก็อย่าให้ใครมาแยกออกจากกันเลย”[7] พวกฟาริสีจึงถามอีกว่า “แล้วทำไมโมเสสถึงสั่งให้ผู้ชายแค่เขียนใบหย่าให้กับภรรยา แล้วก็หย่าได้”[8] พระเยซูตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้พวกคุณหย่ากับภรรยาได้ เพราะคุณดื้อดึงไม่เชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรก[9] เราจะบอกให้รู้ว่า ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้ นอกจากเขาจะหย่าเพราะภรรยาทำบาปทางเพศเท่านั้น”[10] พวกศิษย์พูดกับพระเยซูว่า “ถ้านั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ผู้ชายจะหย่าภรรยาได้ ก็อย่าแต่งงานเสียเลยจะดีกว่า”[11] พระเยซูตอบว่า “ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะรับคำสอนนี้ได้ แต่มีบางคนที่พระเจ้าทำให้รับได้[12] มีหลายเหตุผลที่คนไม่แต่งงาน บางคนเกิดมาเป็นขันที บางคนถูกจับตอน และบางคนไม่แต่งงานเพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ ถ้าใครสามารถอยู่เป็นโสดได้ ก็ไม่ควรแต่ง” |
|
เอเฟซัส 5:31 |
เหมือนกับที่พระคัมภีร์พูดเอาไว้ว่า “ดังนั้นผู้ชายจะจากพ่อและแม่ของเขา ไปเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยาของตน และเขาทั้งสองจะเป็นร่างกายเดียวกัน” |
|
เยเรมีย์ 3:8 |
นางเห็นเรื่องสำส่อนทุกเรื่องที่อิสราเอลผู้ไม่สัตย์ซื่อได้ทำไป และเห็นว่าเราได้ขับไล่อิสราเอลไป และเราได้หย่ากับนาง แต่ยูดาห์น้องสาวจอมโกงของนางก็ไม่กลัว และนางก็ไปสำส่อนเหมือนกัน |
|
กิจการของอัครทูต 2:38 |
เปโตรพูดกับพวกเขาว่า “กลับตัวกลับใจเสียใหม่ และเข้าพิธีจุ่มน้ำในนามของพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์ เพื่อพระเจ้าจะได้ยกโทษความผิดบาปของคุณ แล้วคุณก็จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของขวัญ |
|
โรม 4:15 |
เพราะกฎนำไปสู่การลงโทษจากพระเจ้า เพราะคนทำผิดกฎเสมอ แต่ถ้าที่ไหนไม่มีกฎ ที่นั่นก็ไม่มีการทำผิดกฎ |
|
๑ โครินธ์ 7:14-15 |
[14] เพราะสามีที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ก็บริสุทธิ์แล้ว เพราะภรรยาของเขาที่ไว้วางใจ ส่วนภรรยาที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ก็บริสุทธิ์แล้ว เพราะสามีของเธอที่ไว้วางใจ ไม่อย่างนั้นลูกๆของพวกคุณจะสกปรกต่อหน้าพระเจ้า แต่ความจริงตอนนี้ลูกๆของพวกคุณก็เป็นของพระเจ้าแล้ว[15] แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์อยากจะหย่า ก็ให้เขาหย่าไป พี่น้องที่ไว้วางใจในพระคริสต์คนนั้นก็เป็นอิสระแล้ว เพราะพระเจ้าเรียกให้พวกเรามาอยู่กันอย่างสงบสุข |
|
มัทธิว ๑๙:๑ |
หลังจากที่พระเยซูพูดเรื่องพวกนี้แล้ว พระองค์ก็ออกจากแคว้นกาลิลีไปที่แคว้นยูเดีย ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน |
|
๑ โครินธ์ 7:8-9 |
[8] ตอนนี้ขอพูดกับคนโสดและแม่ม่ายว่า ถ้าพวกเขาจะอยู่เป็นโสดเหมือนกับผม ก็จะดีกว่านะ[9] แต่ถ้าเห็นว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ให้แต่งงานเสียเถอะ เพราะทำอย่างนี้ ย่อมดีกว่าถูกเผาจนเร่าร้อนไปด้วยราคะตัณหา |
|
มาลาคี 2:13-16 |
[13] และพวกเจ้าจะทำอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเจ้าจะต้องร้องไห้คร่ำครวญ จนน้ำตาไหลนองทั่วแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ไม่ยอมหันมามองของขวัญที่เจ้าเอามา และไม่ยินดีที่จะรับมันมาจากมือของพวกเจ้า[14] แล้วเจ้าก็ถามว่า “ทำไมพระเจ้าถึงไม่ยอมรับเรา” ก็เพราะพระยาห์เวห์เป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าและเมียที่เจ้าแต่งด้วยตั้งแต่เป็นหนุ่ม ผู้หญิงที่เจ้าได้นอกใจ ทั้งๆที่นางก็เป็นคู่ทุกข์คู่ยากของเจ้า และเป็นผู้หญิงที่เจ้าเคยให้คำมั่นสัญญาที่จะอยู่ด้วยตลอดไป[15] พระเจ้าต้องการให้สามีและภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อลูกที่เกิดมาจะได้อยู่ในแนวทางของพระองค์ ดังนั้นระวังจิตใจของพวกเจ้าให้ดี อย่าได้นอกใจเมียที่เจ้าแต่งด้วยตั้งแต่เป็นหนุ่ม[16] พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลพูดว่า “ที่เราพูดอย่างนี้ ก็เพราะเราเกลียดการหย่าร้าง และเกลียดคนที่ปกปิดเสื้อผ้าของเขาด้วยรอยของความเหี้ยมโหด” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนั้น ดังนั้นให้ระวังจิตใจของพวกเจ้าและอย่าได้นอกใจเมีย |
|
โรม 7:2 |
ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องผูกมัดอยู่กับสามีตามกฎเมื่อสามีของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีของเธอตายไป เธอก็หลุดพ้นจากกฎการแต่งงานนั้น |
|
มัทธิว ๙:๑๓ |
พวกคุณไปศึกษาดูสิว่า พระคัมภีร์ข้อนี้หมายถึงอะไรที่ว่า ‘เราอยากจะเห็นความเมตตา ไม่ใช่เครื่องบูชา’ เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนดี แต่มาเพื่อเรียกคนบาป” |
|
โรม ๗:๓ |
แต่ถ้าสามีเธอยังมีชีวิตอยู่ แล้วเธอไปเป็นเมียชายอื่น ก็ถือว่าเธอคบชู้ แต่ถ้าสามีเธอตายแล้ว เธอก็เป็นอิสระจากกฎการแต่งงานนั้น และถ้าเธอไปเป็นเมียชายอื่น ก็ไม่ถือว่าเธอคบชู้ |
|
๑ โครินธ์ ๗:๒๗-๒๘ |
[๒๗] แต่ถ้าคุณหมั้นกันแล้วก็อย่าคิดที่จะถอนหมั้นเธอ แต่ถ้าคุณยังเป็นโสดอยู่ก็อย่าคิดที่จะหาภรรยา[๒๘] แต่ถ้าคุณจะแต่งงานก็ไม่บาปหรอก และถ้าหากหญิงโสดจะแต่งงานก็ไม่บาปเหมือนกัน แต่ขอเตือนว่าคนที่แต่งงานจะเจอกับปัญหามากมายในชีวิต และผมก็ไม่อยากให้พวกคุณเจอกับปัญหาพวกนี้ |
|
ปฐมกาล ๒:๑๘-๒๔ |
[๑๘] พระยาห์เวห์พระเจ้าพูดว่า “มันไม่ดีที่จะให้ผู้ชายคนนี้อยู่คนเดียว เราจะสร้างผู้ช่วยคนหนึ่งที่เหมือนกับเขาให้กับเขา”[๑๙] พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ใช้ดินสร้างเป็นสัตว์ทุกชนิดในท้องทุ่งและนกทุกชนิดในอากาศ แล้วพระองค์ได้นำสัตว์พวกนี้แต่ละตัวไปมอบให้กับชายคนนี้ เพื่อดูว่าเขาจะเรียกมันว่าอะไร ชายคนนี้เรียกสิ่งมีชีวิตพวกนั้นว่าอะไร มันก็มีชื่อตามนั้น[๒๐] ชายคนนี้ตั้งชื่อให้กับสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ พวกนกที่อยู่ในอากาศ และสัตว์ป่าทุกชนิด แต่ก็ไม่เจอผู้ช่วยที่เหมือนกับเขาเลย[๒๑] พระยาห์เวห์พระเจ้าทำให้ชายคนนี้หลับสนิท ตอนที่เขาหลับอยู่นั้น พระองค์เอาซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วปิดแผลบนผิวหนังของเขา[๒๒] จากนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าก็เอาซี่โครงที่มาจากชายนั้น มาสร้างเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วพระองค์ก็เอานางไปให้กับชายคนนั้น[๒๓] ชายนั้นจึงพูดว่า “ในที่สุด นี่แหละคือกระดูกจากกระดูกของเรา และเนื้อจากเนื้อของเรา เธอจะถูกเรียกว่า ผู้หญิง เพราะเธอถูกดึงออกมาจากผู้ชาย”[๒๔] เพราะเหตุนี้ ผู้ชายจึงได้จากพ่อแม่ของเขา ไปผูกพันอยู่กับเมียของเขา และทั้งสองคนก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน |
|
Thai Bible (ERV) 2001 |
Copyright © 2001 by Bible League International |