|
๑ โครินธ์ 6:18 |
ให้หลีกเลี่ยงจากบาปทางเพศนี้ บาปอื่นๆทั้งหมดที่คนทำนั้นเป็นบาปภายนอกร่างกาย แต่คนทำผิดทางเพศได้ทำบาปต่อร่างของเขาเอง |
|
อพยพ ๒๐:๑๔ |
ห้ามมีชู้กับผัวเมียคนอื่น |
|
ฮีบรู 13:4 |
ขอให้ทุกคนให้เกียรติกับชีวิตสมรส และขอให้เตียงสมรสนั้นบริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าจะลงโทษคนที่มีชู้และทำผิดทางเพศ |
|
ยากอบ 4:17 |
ดังนั้น สำหรับคนที่รู้ตัวว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่ควรจะทำแต่ไม่ยอมทำ ก็ถือว่าคนนั้นกำลังทำบาป |
|
เยเรมีย์ 13:27 |
เราได้เห็นการสำส่อนของเจ้า การให้ท่าของเจ้า อุบายแยบยลที่เจ้าใช้สำส่อนบนเนินเขาต่างๆ เราได้เห็นพิธีกรรมที่น่าขยะแขยงที่เจ้าได้ทำในท้องทุ่งนั้น แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าจะไม่บริสุทธิ์ไปอีกนานเท่าไหร่” |
|
๑ ยอห์น 1:9 |
แต่ถ้าเรายอมสารภาพความบาปของเรา พระเจ้าผู้รักษาคำสัญญาและทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ จะยกโทษบาปให้กับเรา และจะล้างเราให้สะอาดจากความผิดทุกอย่างด้วย |
|
ลูกา 16:18 |
ผู้ชายที่หย่ากับภรรยาของตนแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้ และผู้ชายที่มาแต่งงานกับหญิงที่หย่าร้างนี้ ก็ถือว่ามีชู้ด้วย |
|
มัทธิว 19:9 |
เราจะบอกให้รู้ว่า ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้ นอกจากเขาจะหย่าเพราะภรรยาทำบาปทางเพศเท่านั้น” |
|
สุภาษิต 6:32 |
ส่วนคนที่เป็นชู้กับเมียคนอื่น เป็นคนไม่มีสมองคิด คนที่ทำอย่างนี้ทำลายตัวเอง |
|
โรม 7:2-3 |
[2] ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องผูกมัดอยู่กับสามีตามกฎเมื่อสามีของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสามีของเธอตายไป เธอก็หลุดพ้นจากกฎการแต่งงานนั้น[3] แต่ถ้าสามีเธอยังมีชีวิตอยู่ แล้วเธอไปเป็นเมียชายอื่น ก็ถือว่าเธอคบชู้ แต่ถ้าสามีเธอตายแล้ว เธอก็เป็นอิสระจากกฎการแต่งงานนั้น และถ้าเธอไปเป็นเมียชายอื่น ก็ไม่ถือว่าเธอคบชู้ |
|
มาระโก 10:11-12 |
[11] พระองค์ตอบว่า “ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้[12] และถ้าหญิงที่หย่ากับสามีแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่านางมีชู้เหมือนกัน” |
|
มัทธิว 5:27-32 |
[27] พวกคุณคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘อย่าเป็นชู้กับสามีภรรยาเขา’[28] แต่เราจะบอกคุณว่า แค่มองผู้หญิงแล้วเกิดความใคร่ ก็ถือว่าคุณเป็นชู้ทางใจกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว[29] ดังนั้น ถ้าตาขวาของคุณทำให้คุณทำบาป ก็ให้ควักทิ้งไปเลย เพราะเสียอวัยวะไปส่วนหนึ่ง ก็ยังดีกว่าถูกโยนลงไปในนรกทั้งตัว[30] ถ้ามือขวาของคุณทำให้คุณทำบาป ก็ให้ตัดทิ้งไปเลย เพราะเสียอวัยวะไปส่วนหนึ่งก็ยังดีกว่าจะต้องตกนรกทั้งตัว[31] มีคำพูดว่า ‘ถ้าใครจะหย่ากับภรรยา ก็ให้ทำหนังสือหย่า ให้กับภรรยา’[32] แต่เราจะบอกคุณว่า ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นหย่าเพราะเรื่องการทำบาปทางเพศ ก็ทำให้ภรรยามีชู้เมื่อเธอไปแต่งงานใหม่ และผู้ชายที่มาแต่งงานกับเธอก็ถือว่ามีชู้ด้วย |
|
๑ โครินธ์ ๖:๙-๑๖ |
[๙] พวกคุณไม่รู้หรือว่า คนที่ทำชั่วจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก อย่าหลอกตัวเองเลย คนที่ทำผิดทางเพศ คนที่กราบไหว้รูปเคารพ คนที่เล่นชู้ ผู้ชายขายตัว พวกเกย์[๑๐] คนขี้ขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนชอบใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น คนขี้โกง คนพวกนี้ไม่มีวันได้อาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกหรอก[๑๑] ในอดีตพวกคุณบางคนก็เป็นอย่างนั้น แต่ฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ และฤทธิ์เดชของพระวิญญาณของพระเจ้าของเราได้ชำระคุณจากบาป ทำให้คุณเป็นของพระเจ้า และทำให้พระเจ้ายอมรับคุณ[๑๒] มีบางคนพูดว่า “ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้” แต่ผมว่าสิ่งที่ทำไปนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์ไปเสียทุกเรื่องหรอกนะครับ อย่างที่บางคนพูดว่า “ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้” แต่ผมจะไม่ยอมให้อะไรมาครอบงำผมหรอก[๑๓] บางคนพูดว่า “อาหารมีไว้สำหรับท้อง และท้องก็มีไว้สำหรับอาหาร” แต่พระเจ้าจะทำลายทั้งท้องและอาหารนั้น ร่างกายไม่ได้มีไว้สำหรับทำความผิดบาปทางเพศ แต่มีไว้สำหรับรับใช้องค์เจ้าชีวิต และองค์เจ้าชีวิตก็มีไว้สำหรับร่างกาย[๑๔] ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงแต่ทำให้องค์เจ้าชีวิตฟื้นขึ้นจากความตายเท่านั้น แต่ยังจะทำให้เราฟื้นขึ้นจากความตายเหมือนกัน[๑๕] พวกคุณไม่รู้หรือว่า ร่างกายของพวกคุณนั้นเป็นส่วนต่างๆของพระคริสต์ รู้อย่างนั้นแล้ว ผมควรจะเอาส่วนต่างๆของพระคริสต์ไปเที่ยวโสเภณีหรือ ไม่มีทาง[๑๖] พวกคุณไม่รู้หรือว่าคนที่ไปยุ่งกับโสเภณีก็จะเป็นร่างเดียวกับเธอเหมือนพระคัมภีร์พูดไว้ว่า “เขาทั้งสองจะเป็นร่างเดียวกัน” |
|
ลูกา ๑๘:๑๘-๒๐ |
[๑๘] มีผู้นำชาวยิวคนหนึ่งถามพระเยซูว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐผมจะต้องทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป”[๑๙] พระเยซูจึงถามว่า “คุณเรียกเราว่าผู้ประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐหรอกนอกจากพระเจ้าเท่านั้น[๒๐] คุณก็รู้กฎปฏิบัติแล้วนี่ ที่ว่า ‘อย่ามีชู้ อย่าฆ่าคน อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ และให้เคารพนับถือพ่อแม่’” |
|
๑ เธสะโลนิกา ๔:๓-๕ |
[๓] พระเจ้าต้องการให้พวกคุณบริสุทธิ์ และอยู่ห่างจากความผิดบาปทางเพศ[๔] ให้แต่ละคนหาภรรยาของตัวเองมาในทางที่บริสุทธิ์และมีเกียรติ[๕] ไม่ลุ่มหลงมัวเมาในราคะตัณหา เหมือนกับคนนอกศาสนาที่ไม่รู้จักพระเจ้าทำกัน |
|
มาระโก ๗:๒๐-๒๓ |
[๒๐] พระองค์ก็พูดต่อว่า “สิ่งที่ออกมาจากตัวคนนั่นแหละที่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า[๒๑] เพราะที่ออกมาจากตัวก็ออกมาจากจิตใจ และใจนี่เองเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย ความผิดบาปทางเพศ การลักขโมย การฆ่ากัน[๒๒] การมีชู้ ความโลภ ความชั่วต่างๆ การหลอกลวง ราคะตัณหา การอิจฉาริษยา การนินทาว่าร้าย ความเย่อหยิ่งจองหอง และ ความโง่เขลา[๒๓] สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากข้างในและทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า” |
|
มัทธิว ๑๕:๑๗-๒๐ |
[๑๗] ไม่เห็นหรือว่า ทุกอย่างที่คนกินเข้าไปในปากจะตกลงไปในท้อง แล้วถ่ายออกมา[๑๘] แต่สิ่งที่พูดออกมาจากปากนั้น มันมาจากใจ และสิ่งนี้เองที่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า[๑๙] เพราะสิ่งที่ออกมาจากใจ คือความคิดชั่วร้าย การเข่นฆ่ากัน การมีชู้ ความผิดบาปทางเพศอื่นๆ การลักขโมย การโกหก การใส่ร้ายป้ายสีกัน[๒๐] สิ่งเหล่านี้แหละเป็นสิ่งที่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้า แต่การที่ไม่ได้ล้างมือก่อนกินอาหาร ไม่ทำให้คนสกปรกในสายตาพระเจ้าหรอก” |
|
สุภาษิต ๕:๑๘-๒๓ |
[๑๘] ขอให้ตาน้ำของเจ้าได้รับพร ขอให้เสพสุขกับภรรยาที่เจ้าแต่งตอนเป็นหนุ่ม[๑๙] เธอเป็นเหมือนกวางเพศเมียที่เย้ายวนใจ หรือเลียงผาที่สง่างาม ขอให้เต้าของเธอนั้นดับกระหายเจ้าเสมอ ขอให้เมามันกับการร่วมรักกับนางอยู่สม่ำเสมอ[๒๐] ลูกพ่อ ทำไมจะต้องไปเมามันกับหญิงอื่น และโอบกอดสองเต้าของหญิงชู้เล่า[๒๑] เพราะวิถีทางของแต่ละคน หนีไม่พ้นสายตาของพระยาห์เวห์หรอก พระองค์ตรวจสอบทุกย่างก้าวของเขา[๒๒] ความชั่วที่เขาทำเป็นกับดักสำหรับตัวเขาเอง เขาติดอยู่กับตาข่ายแห่งความบาปของตัวเขาเอง[๒๓] เขาตายไปเพราะขาดการควบคุมตนเอง และหลงทางไปเพราะความงี่เง่าของตนเอง |
|
ยอห์น ๘:๔-๑๑ |
[๔] พวกเขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับได้ในขณะที่กำลังมีชู้อยู่[๕] ในกฎปฏิบัตินั้น โมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนที่ทำอย่างนี้ให้ตาย แล้วอาจารย์จะว่ายังไง”[๖] (ที่พวกเขาถามอย่างนี้เพื่อจะให้พระองค์หลงกลและจะได้หาเรื่องฟ้องร้องพระองค์) พระเยซูได้แต่ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนไปมาบนพื้นดิน[๗] แต่พวกนั้นก็ยังคะยั้นคะยอให้พระองค์ตอบ พระองค์จึงยืนขึ้นพูดว่า “พวกคุณคนไหนที่ไม่มีความผิดเลย ก็ให้เอาหินขว้างหญิงคนนี้เป็นคนแรก”[๘] แล้วพระองค์ก็ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนบนพื้นดินต่อ[๙] เมื่อได้ยินพระเยซูพูดอย่างนั้น พวกนั้นก็หลบไปทีละคนสองคน คนที่มีอายุมากที่สุดเริ่มเดินจากไปก่อนจนเหลือแต่พระเยซูกับหญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น[๑๐] พระเยซูลุกขึ้น และถามหญิงคนนั้นว่า “พวกเขาไปไหนกันหมดแล้ว ไม่มีใครลงโทษคุณหรือ”[๑๑] หญิงคนนั้นตอบว่า “ไม่มีค่ะ” แล้วพระเยซูก็พูดว่า “เราก็ไม่ลงโทษคุณเหมือนกัน ไปเถอะแล้วอย่าทำบาปอีก” |
|
สุภาษิต ๖:๒๐-๓๕ |
[๒๐] ลูกเอ๋ย ให้รักษาคำสั่งของพ่อเจ้าไว้ และอย่าละทิ้งคำสั่งสอนของแม่เจ้า[๒๑] ให้เอามันคล้องคอของเจ้าไว้ ให้มันห้อยอยู่ใกล้ใจของเจ้าตลอดเวลา[๒๒] ไม่ว่าเจ้าจะเดินไปที่ไหน คำสั่งสอนนั้นจะนำทางเจ้า จะคอยดูแลเจ้าเมื่อเจ้านอนลง และจะคอยพูดคุยกับเจ้าเมื่อเจ้าตื่นขึ้น[๒๓] เพราะคำสั่งนั้นเป็นตะเกียง คำสั่งสอนนั้นเป็นแสงสว่าง และการตักเตือนตีสอนนั้นเป็นทางที่นำไปสู่ชีวิต[๒๔] คำสอนของพ่อแม่จะช่วยรักษาเจ้าให้รอดพ้นจากหญิงชั่ว และรอดพ้นจากคำพูดยั่วยวนของหญิงที่เล่นชู้[๒๕] อย่าปล่อยให้ใจของเจ้ากระสันในความงามของเธอ และอย่าปล่อยให้เธอสะกดเจ้าด้วยหางตาของเธอ[๒๖] เพราะไปเที่ยวโสเภณี จ่ายค่าตัวเท่าขนมปังแค่ก้อนเดียว แต่ถ้าไปยุ่งกับเมียคนอื่น เจ้าจะต้องเสียทั้งชีวิตไป[๒๗] ใครบ้างที่ใส่ไฟเข้าไปในกระเป๋าหน้าอกเสื้อ แล้วเสื้อไม่ไหม้[๒๘] ใครบ้างที่เดินบนถ่านไฟ แล้วเท้าไม่พอง[๒๙] คนที่ไปร่วมหลับนอนกับเมียของเพื่อนบ้านก็เหมือนกัน ไม่มีใครที่ไปแตะต้องตัวเธอ แล้วพ้นโทษไปได้[๓๐] คนจะไม่เหยียดหยามหัวขโมยหรอก ถ้าเขาขโมยไปเพื่อดับความหิวโหย[๓๑] แต่ถ้าหากเขาถูกจับได้ เขาจะต้องจ่ายคืนถึงเจ็ดเท่า เขาอาจจะต้องชดใช้ด้วยทุกสิ่งที่เขามีอยู่[๓๒] ส่วนคนที่เป็นชู้กับเมียคนอื่น เป็นคนไม่มีสมองคิด คนที่ทำอย่างนี้ทำลายตัวเอง[๓๓] เขาจะถูกโบยตี และเสื่อมเสียเกียรติ ความอับอายของเขาไม่อาจถูกลบล้างไปได้[๓๔] เพราะความหึงหวงจะกระตุ้นให้สามีของหญิงนั้นโกรธแค้น และในวันที่เขาแก้แค้นนั้น เขาจะไม่ปรานีเลย[๓๕] เขาจะไม่ยอมรับเงินชดใช้ใดๆ และไม่ยอมรับค่าทำขวัญด้วย ไม่ว่าเจ้าจะพยายามให้เขามากแค่ไหนก็ตาม |
|
สุภาษิต ๕:๓-๒๒ |
[๓] เพราะริมฝีปากของเมียคนอื่นนั้น หยาดเยิ้มด้วยน้ำผึ้ง และคำพูดของเธอก็ลื่นยิ่งกว่าน้ำมันมะกอก[๔] แต่สุดท้ายแล้วเธอจะขมเหมือนกับบอระเพ็ด และเจ็บปวดเหมือนดาบสองคม[๕] เท้าของเธอนั้นเดินไปสู่ความตาย ทุกย่างก้าวของเธอตรงดิ่งไปยังแดนคนตาย[๖] เธอไม่ยอมเดินตรงไปยังหนทางที่นำไปสู่ชีวิต หนทางของเธอนั้นคดเคี้ยว แต่เธอก็ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ[๗] ดังนั้น ลูกๆเอ๋ย ฟังเราให้ดี และอย่าได้หันเหไปจากคำพูดทั้งหลายของเรา[๘] อยู่ให้ห่างไกลจากผู้หญิงอย่างนั้น และอย่าเข้าไปใกล้ประตูบ้านของเธอ[๙] ไม่อย่างนั้น ชื่อเสียงเกียรติยศของเจ้าก็จะตกไปเป็นของคนอื่น และเจ้าจะสูญเสียเดือนปีของเจ้าให้กับคนที่โหดร้าย[๑๐] พวกคนแปลกหน้าจะฮุบทรัพย์สมบัติของเจ้าจนอิ่มหนำ ทรัพย์สมบัติที่เจ้าหามาได้ด้วยความยากลำบากก็จะตกไปอยู่ในบ้านของคนอื่น[๑๑] ในที่สุดเจ้าจะร้องครวญคราง เมื่อเนื้อหนังและร่างกายของเจ้าถูกทำลาย[๑๒] แล้วเจ้าจะพูดว่า “ข้าเคยเกลียดชังคำสั่งสอน และใจข้าก็เหยียดหยามการว่ากล่าวตักเตือน[๑๓] ข้าไม่เชื่อฟังพวกครูข้า และไม่ยอมเงี่ยหูฟังครูผู้แนะนำข้า[๑๔] ข้าก็เลยเจอกับปัญหาร้อยแปดอย่างรวดเร็ว แล้วต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าที่ชุมนุมชน”[๑๕] ดังนั้นให้ดื่มน้ำ จากบ่อเก็บน้ำของเจ้าเอง เป็นน้ำใสบริสุทธิ์จากบ่อของเจ้าเอง[๑๖] ไม่อย่างนั้น ตาน้ำของเจ้าอาจจะไหลนองไปตามท้องถนน และสายน้ำของเจ้าอาจจะไหลนองไปในที่ลานเมือง[๑๗] ให้สายน้ำนั้นเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว อย่าแบ่งปันกับคนอื่น[๑๘] ขอให้ตาน้ำของเจ้าได้รับพร ขอให้เสพสุขกับภรรยาที่เจ้าแต่งตอนเป็นหนุ่ม[๑๙] เธอเป็นเหมือนกวางเพศเมียที่เย้ายวนใจ หรือเลียงผาที่สง่างาม ขอให้เต้าของเธอนั้นดับกระหายเจ้าเสมอ ขอให้เมามันกับการร่วมรักกับนางอยู่สม่ำเสมอ[๒๐] ลูกพ่อ ทำไมจะต้องไปเมามันกับหญิงอื่น และโอบกอดสองเต้าของหญิงชู้เล่า[๒๑] เพราะวิถีทางของแต่ละคน หนีไม่พ้นสายตาของพระยาห์เวห์หรอก พระองค์ตรวจสอบทุกย่างก้าวของเขา[๒๒] ความชั่วที่เขาทำเป็นกับดักสำหรับตัวเขาเอง เขาติดอยู่กับตาข่ายแห่งความบาปของตัวเขาเอง |
|
๑ โครินธ์ ๗:๑-๔๐ |
[๑] ตอนนี้ผมขอพูดถึงเรื่องที่พวกคุณเขียนมาหาผมว่า “ดีแล้วที่ผู้ชายจะไม่นอนกับภรรยา”[๒] แต่ เพราะมีความผิดบาปทางเพศเกิดขึ้นมากมาย ผู้ชายแต่ละคนจึงควรจะมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา และผู้หญิงแต่ละคนก็ควรจะมีเพศสัมพันธ์กับสามี[๓] สามีควรจะให้ความสุขทางเพศกับภรรยาตามหน้าที่ ส่วนภรรยาควรจะให้ความสุขทางเพศกับสามีตามหน้าที่เหมือนกัน[๔] ร่างกายของภรรยาไม่เป็นของเธออีกต่อไป แต่กลายเป็นของสามี ส่วนร่างกายของสามีก็ไม่เป็นของเขาอีกต่อไป แต่กลายเป็นของภรรยา[๕] อย่าปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์กันเลย นอกจากทั้งสองคนจะตกลงกันเป็นการชั่วคราว เพื่อคุณจะได้ทุ่มเทตัวเองในการอธิษฐาน หลังจากนั้นก็ค่อยกลับมาอยู่ร่วมกันอีก เพื่อซาตานจะได้ไม่มาล่อลวงคุณให้ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นเพราะขาดการบังคับตน[๖] เรื่องที่อยู่ห่างกันชั่วคราวนี้ผมไม่ได้สั่งให้ทำนะครับ แต่ถ้าคุณอยากทำก็ตามใจ[๗] ความจริงแล้วผมอยากให้ทุกคนเป็นโสดเหมือนผม แต่อย่างว่าแหละครับ พระเจ้าก็ให้พรสวรรค์แต่ละคนมาไม่เหมือนกัน คนนี้ได้อย่างนี้ คนโน้นก็ได้อีกอย่างหนึ่ง[๘] ตอนนี้ขอพูดกับคนโสดและแม่ม่ายว่า ถ้าพวกเขาจะอยู่เป็นโสดเหมือนกับผม ก็จะดีกว่านะ[๙] แต่ถ้าเห็นว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ให้แต่งงานเสียเถอะ เพราะทำอย่างนี้ ย่อมดีกว่าถูกเผาจนเร่าร้อนไปด้วยราคะตัณหา[๑๐] ตอนนี้ผมขอสั่งคนที่แต่งงานแล้วว่า (ไม่ใช่ผมสั่งหรอกแต่เป็นองค์เจ้าชีวิตต่างหาก) ภรรยาต้องไม่หย่าจากสามี[๑๑] (แต่ถ้าเธอหย่า เธอก็ต้องอยู่เป็นโสด หรือไม่ก็ให้กลับไปคืนดีกับสามีของเธอ) และสามีก็จะต้องไม่หย่าภรรยาเหมือนกัน[๑๒] ตอนนี้ขอพูดถึงคนที่เหลือว่า (ตรงนี้ผมพูดเองนะครับ ไม่ใช่องค์เจ้าชีวิตพูด) ถ้าพี่น้องคนไหนมีภรรยาที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ และเธอตกลงใจที่จะอยู่กับเขา เขาก็ต้องไม่หย่ากับเธอ[๑๓] ถ้าหญิงคนไหนมีสามีที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ และเขาตกลงใจที่จะอยู่กับเธอ เธอก็ต้องไม่หย่ากับเขา[๑๔] เพราะสามีที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ก็บริสุทธิ์แล้ว เพราะภรรยาของเขาที่ไว้วางใจ ส่วนภรรยาที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์ก็บริสุทธิ์แล้ว เพราะสามีของเธอที่ไว้วางใจ ไม่อย่างนั้นลูกๆของพวกคุณจะสกปรกต่อหน้าพระเจ้า แต่ความจริงตอนนี้ลูกๆของพวกคุณก็เป็นของพระเจ้าแล้ว[๑๕] แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ไว้วางใจในพระคริสต์อยากจะหย่า ก็ให้เขาหย่าไป พี่น้องที่ไว้วางใจในพระคริสต์คนนั้นก็เป็นอิสระแล้ว เพราะพระเจ้าเรียกให้พวกเรามาอยู่กันอย่างสงบสุข[๑๖] คนที่เป็นภรรยาก็ไม่ต้องไปรั้งเขาไว้หรอก คุณแน่ใจหรือว่าคุณจะช่วยสามีที่ไม่ไว้วางใจในพระคริสต์ให้รอดได้ คนที่เป็นสามีก็เหมือนกัน คุณแน่ใจหรือว่าคุณจะช่วยภรรยาที่ไม่ไว้วางใจในพระคริสต์ให้รอดได้[๑๗] แต่อย่างไรก็ตาม องค์เจ้าชีวิตได้กำหนดให้คุณอยู่ในสภาพไหนก็ให้อยู่ในสภาพนั้นตามที่พระเจ้าได้เรียกมา นี่แหละเป็นกฎที่ผมสั่งไว้ในทุกๆหมู่ประชุม[๑๘] ตอนที่พระเจ้าเรียกนั้น ถ้ามีใครทำพิธีขลิบมาแล้ว ก็อย่าไปเปลี่ยนสภาพให้กลับมาเหมือนเดิมเลย หรือถ้ามีใครที่ยังไม่ได้ทำพิธีขลิบ ก็อย่าไปทำ[๑๙] เพราะจะทำหรือไม่ทำพิธีขลิบก็ไม่ได้สำคัญอะไร สิ่งที่สำคัญคือการทำตามคำสั่งของพระเจ้า[๒๐] ใครอยู่ในสภาพไหนตอนที่พระเจ้าเรียก ก็ให้อยู่ในสภาพนั้น[๒๑] ถ้าเป็นทาสอยู่ก็ไม่ต้องกลุ้มใจ แต่ถ้ามีโอกาสเป็นอิสระก็ให้ฉวยเอาไว้[๒๒] ตอนที่องค์เจ้าชีวิตเรียกนั้น คนที่เป็นทาสก็กลายเป็นคนอิสระขององค์เจ้าชีวิต ส่วนคนที่เป็นอิสระก็กลายเป็นทาสของพระคริสต์[๒๓] พระเจ้าซื้อพวกคุณมาในราคาแพง ดังนั้นก็อย่าเป็นทาสของมนุษย์คนไหนเลย[๒๔] พี่น้องครับ พระเจ้าเรียกให้คุณมาอยู่ในสภาพไหน พวกคุณแต่ละคนก็ควรจะอยู่ในสภาพนั้นต่อหน้าพระเจ้า[๒๕] ตอนนี้ขอพูดถึงคนที่ยังไม่แต่งงาน ผมไม่ได้รับคำสั่งอะไรจากองค์เจ้าชีวิตในเรื่องนี้ แต่ผมอยากจะเสนอความคิดเห็นของผมในฐานะคนที่องค์เจ้าชีวิตให้ความเมตตากรุณาจึงทำให้เป็นคนที่ไว้ใจได้[๒๖] เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงที่มีปัญหามาก ผมเห็นว่าคุณอยู่เป็นโสดอย่างที่คุณเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ดีกว่า[๒๗] แต่ถ้าคุณหมั้นกันแล้วก็อย่าคิดที่จะถอนหมั้นเธอ แต่ถ้าคุณยังเป็นโสดอยู่ก็อย่าคิดที่จะหาภรรยา[๒๘] แต่ถ้าคุณจะแต่งงานก็ไม่บาปหรอก และถ้าหากหญิงโสดจะแต่งงานก็ไม่บาปเหมือนกัน แต่ขอเตือนว่าคนที่แต่งงานจะเจอกับปัญหามากมายในชีวิต และผมก็ไม่อยากให้พวกคุณเจอกับปัญหาพวกนี้[๒๙] พี่น้องครับ ผมกำลังพูดถึงว่าเวลานั้นสั้นเหลือเกิน ต่อไปนี้ให้คนที่มีภรรยาแล้ว ทำเหมือนกับยังไม่มี[๓๐] คนที่โศกเศร้าทำเหมือนกับไม่โศกเศร้า คนที่ร่าเริงทำเหมือนกับไม่ร่าเริง คนที่ซื้อของมาทำเหมือนกับไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย[๓๑] คนที่ใช้สิ่งของในโลกนี้โดยไม่ลุ่มหลงโลก เพราะโลกในปัจจุบันนี้กำลังจะผ่านพ้นไป[๓๒] ผมไม่อยากให้คุณกังวลอะไร ดูสิ ชายโสดก็สนใจเรื่องต่างๆขององค์เจ้าชีวิต คือคิดแต่ว่าจะเอาใจองค์เจ้าชีวิตได้อย่างไร[๓๓] แต่ชายที่แต่งงานแล้วก็จะสนใจแต่เรื่องของโลกนี้ คือคิดแต่ว่าจะเอาใจภรรยาได้อย่างไร[๓๔] ความสนใจของเขาจึงถูกแบ่งออกสองทาง หญิงโสดหรือหญิงที่ยังไม่เคยแต่งงานก็จะสนใจเรื่องต่างๆขององค์เจ้าชีวิต เพื่อนางจะได้บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วก็จะสนใจแต่เรื่องของโลกนี้ คือคิดแต่ว่าจะเอาใจสามีได้อย่างไร[๓๕] ที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพื่อประโยชน์ของคุณเอง ไม่ใช่เอาห่วงมาคล้องคอคุณ แต่อยากจะให้คุณใช้ชีวิตที่ถูกต้อง คือมีใจจดจ่อกับองค์เจ้าชีวิตโดยไม่ถูกแย่งความสนใจไป[๓๖] ถ้าผู้ชายคนไหนคิดว่าเขาทำตัวไม่เหมาะสมกับคู่หมั้นของเขา เพราะทนต่อกิเลสของตัวเองไม่ไหว และเขาคิดว่าควรแต่งก็ให้เขาทำตามที่เขาอยากทำ เพราะมันไม่ผิดหรอกที่เขาจะแต่งงานกัน[๓๗] แต่คนที่มีจิตใจแน่วแน่ ไม่อยู่ภายใต้ความกดดันอะไร เขาก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินเรื่องนี้เอง และถ้าเขาตัดสินใจที่จะไม่แต่งกับคู่หมั้นของเขา เขาก็ทำถูกต้องแล้ว[๓๘] ดังนั้นคนที่แต่งงานกับคู่หมั้นของเขาก็ดีแล้ว แต่คนที่ไม่แต่งงานกับคู่หมั้นของเขาก็ดีกว่า[๓๙] ผู้หญิงจะผูกมัดกับสามีของนางไปตลอดชีวิตของเขา เมื่อสามีตายนางก็เป็นอิสระ อยากจะไปแต่งงานกับใครก็แต่งได้ แต่ต้องเป็นคนที่มีความไว้วางใจในองค์เจ้าชีวิตเท่านั้น[๔๐] แต่ในความคิดของผม ถ้านางไม่แต่งงานอีก นางจะมีเกียรติมากกว่า และผมคิดว่าพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับผมเมื่อผมพูดอย่างนี้ |
|
Thai Bible (ERV) 2001 |
Copyright © 2001 by Bible League International |