กิจการของอัครทูต 2:38 |
เปโตรพูดกับพวกเขาว่า “กลับตัวกลับใจเสียใหม่ และเข้าพิธีจุ่มน้ำในนามของพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์ เพื่อพระเจ้าจะได้ยกโทษความผิดบาปของคุณ แล้วคุณก็จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของขวัญ |
|
โคโลสี 3:17-23 |
[17] ไม่ว่าจะทำอะไรหรือจะพูดอะไร ก็ให้ทำและพูดเพื่อพระเยซูเจ้า และให้ขอบคุณพระเจ้าพระบิดาผ่านทางพระเยซู[18] พวกคุณที่เป็นภรรยา ให้ยินยอมต่อสามีของตน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องในองค์เจ้าชีวิต[19] พวกคุณที่เป็นสามี ให้รักภรรยาของตน และอย่าได้ก้าวร้าวกับเธอ[20] พวกคุณที่เป็นเด็กๆให้เชื่อฟังพ่อแม่ของตนในทุกเรื่อง ถ้าทำอย่างนี้องค์เจ้าชีวิตก็จะพอใจ[21] พวกคุณที่เป็นพ่อ อย่าทำให้ลูกของตนเคืองแค้นใจ เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ท้อใจ[22] พวกคุณที่เป็นทาส ให้เชื่อฟังนายในโลกนี้ทุกอย่าง อย่าเพียงแต่ทำดีแค่ต่อหน้าอย่างคนประจบประแจง แต่ให้ทำจากใจจริง และทำเพราะเกรงกลัวเจ้านายสูงสุด[23] ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ให้ทุ่มสุดใจเหมือนกับว่าไม่ได้ทำเพื่อมนุษย์ แต่ทำเพื่อองค์เจ้าชีวิต |
|
เฉลยธรรมบัญญัติ ๒๓:๑๗ |
ห้ามไม่ให้ลูกสาวและลูกชายของคนอิสราเอลเป็นโสเภณี |
|
ปัญญาจารย์ 9:10 |
สิ่งที่มือคุณทำได้ก็ให้ทำสุดแรงเกิดไปเลย เพราะในแดนคนตายที่จะต้องไปนั้น จะไม่มีการลงมือทำอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ความคิด ความรู้ หรือสติปัญญา |
|
ยอห์น 16:13 |
แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงมาถึง พระองค์จะนำพวกคุณไปสู่ความจริงทั้งหมด เพราะพระองค์ไม่ได้พูดตามใจตัวเอง แต่จะพูดในสิ่งที่พระองค์ได้ยินมา และพระองค์จะบอกให้พวกคุณรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น |
|
เลวีนิติ ๑๙:๒ |
“ให้พูดกับชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมด บอกกับพวกเขาว่า ‘เจ้าต้องทำตัวให้แตกต่างจากคนอื่น เพราะเรา ยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า แตกต่างจากผู้อื่น |
|
เลวีนิติ ๑๙:๑๓-๑๘ |
[๑๓] เจ้าต้องไม่โกงเพื่อนบ้านเจ้า และเจ้าต้องไม่ไปปล้นเขา เจ้าต้องไม่หน่วงเหนี่ยวค่าแรงของคนงานไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น[๑๔] เจ้าต้องไม่แช่งคนหูหนวก เจ้าต้องไม่แกล้งคนตาบอด โดยเอาของมาขวางทางเขา ทำให้เขาสะดุดล้ม เจ้าต้องยำเกรงพระเจ้าของเจ้า เราคือยาห์เวห์[๑๕] เจ้าต้องตัดสินอย่างยุติธรรม ไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนสำคัญ เจ้าต้องตัดสินเพื่อนบ้านของเจ้าอย่างยุติธรรม[๑๖] เจ้าต้องไม่เที่ยวใส่ร้ายคนอื่น และเจ้าต้องไม่ทำสิ่งที่เสี่ยงต่อชีวิตของเพื่อนบ้าน เราคือยาห์เวห์[๑๗] เจ้าต้องไม่เกลียดชังเพื่อนบ้านของเจ้าอยู่ในใจ ต้องช่วยตักเตือนเขาเมื่อเขาทำผิด เพื่อเจ้าจะได้ไม่มีส่วนในความผิดบาปของเขา[๑๘] ลืมสิ่งไม่ดีที่คนอื่นทำกับเจ้า และอย่าแก้แค้น ให้รักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนรักตัวเอง เราคือยาห์เวห์ |
|
ลูกา 6:31 |
ให้ทำกับคนอื่นเหมือนกับที่คุณอยากให้คนอื่นทำกับคุณ |
|
ลูกา 16:10 |
คนที่ไว้ใจได้ในเรื่องเล็กๆก็จะไว้ใจได้ในเรื่องใหญ่ๆด้วย แต่คนที่ไว้ใจไม่ได้แม้แต่ในเรื่องเล็กๆก็จะไว้ใจไม่ได้ในเรื่องใหญ่ๆด้วย |
|
สุภาษิต ๑๑:๑-๓ |
[๑] พระยาห์เวห์เกลียดตาชั่งที่คดโกง แต่พระองค์ชอบใจลูกตุ้มที่เที่ยงตรง[๒] ความหยิ่งมาเมื่อไหร่ ความอับอายก็ตามมา แต่สติปัญญาจะมากับคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน[๓] ความสัตย์ซื่อจะนำทางคนซื่อตรง แต่ความปลิ้นปล้อนของคนทรยศจะทำลายตัวเขาเอง |
|
สุภาษิต 19:1 |
เป็นคนยากจนที่ซื่อสัตย์ ยังดีกว่าเป็นคนหลอกลวงที่โง่ |
|
สุภาษิต 22:6 |
ช่วยเด็กหนุ่มให้เริ่มต้นในทางที่ถูกต้อง แม้เมื่อเขาแก่ตัวลง เขาจะไม่ละทิ้งทางนั้นไป |
|
สุภาษิต 25:21 |
ถ้าศัตรูของเจ้าหิว ก็ให้อาหารเขา ถ้าเขากระหาย ก็เอาน้ำให้เขาดื่ม |
|
โรม 1:26 |
ดังนั้นพระเจ้าจึงปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้กิเลสตัณหาอันน่าละอาย พวกผู้หญิงแทนที่จะมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติแต่กลับทำให้มันผิดธรรมชาติไป |
|
โรม 2:1 |
คุณครับ คุณไม่มีข้อแก้ตัวหรอก เพราะเวลาที่คุณตัดสินคนอื่นนั้น ก็เท่ากับว่าคุณตัดสินตัวคุณเองด้วย เพราะคุณก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน |
|
มัทธิว 7:12-21 |
[12] ดังนั้นให้ทำกับคนอื่นเหมือนกับที่คุณอยากให้คนอื่นทำกับคุณในทุกเรื่อง เพราะกฎปฏิบัติของโมเสส และคำสอนของพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ก็สรุปได้อย่างนี้แหละ[13] เข้าไปทางประตูที่แคบ เพราะประตูกว้างและถนนหนทางที่เดินสบายจะนำไปถึงความพินาศ และมีคนมากมายที่ผ่านเข้าไปทางประตูนั้น[14] ส่วนประตูที่แคบ และถนนที่เดินลำบากจะนำไปถึงชีวิตที่แท้จริง และมีคนน้อยมากที่หาทางนี้เจอ[15] ให้ระวังผู้พูดแทนพระเจ้าตัวปลอม ที่มาหาคุณในคราบลูกแกะเชื่องๆแต่ใจนั้นร้ายเหมือนหมาป่า[16] ผลของการกระทำของเขาจะบอกให้รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ไม่มีใครเก็บองุ่นจากต้นหนาม หรือเก็บลูกมะเดื่อจากพืชที่มีหนามหรอก[17] เหมือนกับที่ต้นไม้ดีย่อมออกผลดี และต้นไม้เลวก็ย่อมออกผลเลว[18] ต้นไม้ดีจะออกผลเลวไม่ได้ และต้นไม้เลวจะออกผลดีไม่ได้[19] ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ออกผลดี จะถูกตัดทิ้งและโยนเผาไฟ[20] ดังนั้นจะรู้ว่าผู้พูดแทนพระเจ้านั้นเป็นตัวปลอมหรือเปล่า ก็ดูจากผลของการกระทำของเขา[21] ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์เจ้าชีวิต องค์เจ้าชีวิต’ แล้วจะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่คนที่ทำตามความต้องการของพระบิดาที่อยู่บนสวรรค์เท่านั้น ถึงจะเข้าไปได้ |
|
ยอห์น 13:34-35 |
[34] เราจะให้คำสั่งใหม่กับพวกคุณ คือให้รักซึ่งกันและกัน พวกคุณต้องรักกันเหมือนกับที่เรารักคุณ[35] ถ้าพวกคุณรักกัน ทุกคนก็จะรู้ว่าคุณเป็นศิษย์ของเรา” |
|
๒ ทิโมธี 3:16-17 |
[16] ทุกๆข้อในพระคัมภีร์ พระเจ้าเป็นผู้ดลใจให้เขียนขึ้นมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการสั่งสอนความจริง ชี้ให้คนเห็นถึงความบาปในชีวิต ช่วยปรับปรุงแก้ไขให้คนดีขึ้น และฝึกคนให้ทำตามใจพระเจ้า[17] เพื่อเตรียมคนของพระเจ้าให้พร้อมที่จะทำดีทุกอย่าง |
|
เอเสเคียล 16:49-50 |
[49] ความผิดที่โสโดมน้องสาวของเจ้าและลูกสาวทั้งหลายของนางทำ คือความเย่อหยิ่งจองหอง พวกเขาอยู่ดีกินดี สบายจนไม่สนใจคนอื่น ไม่ยื่นมือช่วยคนยากจนและคนขัดสน[50] พวกเขายโสโอหัง และทำสิ่งต่างๆที่น่ารังเกียจต่อหน้าเรา ดังนั้นเราจึงได้กำจัดพวกเขา เหมือนกับที่เจ้าเห็นนั้น |
|
กาลาเทีย 5:19-21 |
[19] การกระทำที่เกิดจากสันดานมนุษย์ก็เห็นได้ชัดเจนคือ ความผิดบาปทางเพศ ความไม่บริสุทธิ์ ความคิดสกปรก กิเลสตัณหา[20] การนับถือรูปเคารพ การใช้เวทมนตร์คาถา การเป็นศัตรูกัน การขัดแย้งกัน การริษยาอาฆาตกัน การโกรธเคืองกัน การชิงดีชิงเด่นกัน การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก[21] การอิจฉา การเมาเหล้า การมั่วสุมกันในงานเลี้ยง เป็นต้น ขอเตือนอีกครั้งอย่างที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ทำอย่างนี้จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกอย่างแน่นอน |
|
๑ โครินธ์ 6:9-11 |
[9] พวกคุณไม่รู้หรือว่า คนที่ทำชั่วจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก อย่าหลอกตัวเองเลย คนที่ทำผิดทางเพศ คนที่กราบไหว้รูปเคารพ คนที่เล่นชู้ ผู้ชายขายตัว พวกเกย์[10] คนขี้ขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนชอบใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น คนขี้โกง คนพวกนี้ไม่มีวันได้อาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกหรอก[11] ในอดีตพวกคุณบางคนก็เป็นอย่างนั้น แต่ฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ และฤทธิ์เดชของพระวิญญาณของพระเจ้าของเราได้ชำระคุณจากบาป ทำให้คุณเป็นของพระเจ้า และทำให้พระเจ้ายอมรับคุณ |
|
โรม 13:8-10 |
[8] อย่าเป็นหนี้อะไรกับใครเลย นอกจากหนี้รักที่มีต่อกันและกัน เพราะคนที่รักคนอื่นก็ถือว่าได้ทำตามกฎครบถ้วนแล้ว[9] ในกฎบัญญัติมีคำสั่งมากมายเช่น “อย่าเป็นชู้” “อย่าฆ่าคน” “อย่าขโมย” “อย่าโลภ” และยังมีคำสั่งอื่นๆอีก แต่ทั้งหมดนั้นก็สรุปได้ว่า “ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”[10] ความรักไม่ทำร้ายเพื่อนบ้าน เป็นเหตุที่ว่า ถ้ามีความรักก็ถือว่าได้ทำตามกฎครบถ้วนแล้ว |
|
ยากอบ 1:12-15 |
[12] สำหรับคนที่ทนต่อการทดลองและการล่อลวงต่างๆได้ ก็ถือว่ามีเกียรติจริงๆเพราะเมื่อเขาผ่านการทดลองนี้ไปได้ เขาจะได้รับรางวัล แห่งชีวิตแท้ เป็นรางวัลที่พระเจ้าได้สัญญาว่าจะให้กับคนที่รักพระองค์[13] อย่าให้คนที่กำลังถูกล่อลวงพูดว่า “พระเจ้าล่อลวงฉัน” เพราะพระเจ้าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องชั่วร้ายและพระองค์ก็ไม่เคยล่อลวงใครด้วย[14] แต่เป็นเพราะกิเลสของตัวเองต่างหากที่มาล่อลวงและชักนำให้หลงไป[15] เมื่อกิเลสตั้งท้อง มันก็จะคลอดความบาปออกมา แล้วเมื่อความบาปโตเต็มที่ มันก็จะคลอดความตายออกมา |
|
มาระโก 12:28-31 |
[28] มีครูสอนกฎปฏิบัติคนหนึ่งที่ยืนฟังพวกเขาถามตอบกันอยู่ที่นั่น เขาเห็นว่าพระเยซูตอบได้ดีมากทีเดียว จึงเข้าไปถามพระองค์ว่า “กฎทั้งหมด ข้อไหนสำคัญที่สุด”[29] พระเยซูตอบว่า “ข้อที่สำคัญที่สุดคือ ‘พวกอิสราเอลฟังไว้ให้ดี องค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเราเป็นองค์เจ้าชีวิตแต่เพียงผู้เดียว[30] ให้รักองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของเจ้าอย่างสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของเจ้า’[31] ข้อที่สำคัญรองลงมาคือ ‘ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง’ ไม่มีกฎข้อไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าสองข้อนี้อีกแล้ว” |
|
ลูกา 10:10-28 |
[10] แต่ถ้าเมืองไหนไม่ต้อนรับคุณ ก็ให้ไปยืนอยู่ที่ถนนแล้วพูดว่า[11] ‘แม้แต่ฝุ่นในเมืองนี้ที่ติดเท้าเรา เราก็จะปัดออกให้หมด’ เพื่อเป็นการเตือนพวกคุณ แต่ให้รู้เอาไว้ว่า ‘อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว’[12] เราจะบอกให้รู้ว่า ในวันพิพากษา โทษของเมืองนั้นจะรุนแรงกว่าโทษของเมืองโสโดมเสียอีก”[13] “น่าละอายจริงๆเมืองโคราซินและเมืองเบธไซดา เพราะถ้าเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเมืองของเจ้านี้ไปเกิดที่เมืองไทระและเมืองไซดอน แล้วละก็ คนที่นั่นก็คงกลับตัวกลับใจ ใส่ผ้ากระสอบและเอาขี้เถ้าโรยหัวไปนานแล้ว[14] ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองนี้จะรุนแรงกว่าโทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนเสียอีก[15] ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าคิดว่า เจ้าจะถูกยกขึ้นสูงเทียมฟ้าหรือ ไม่มีทาง เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในแดนคนตายต่างหาก”[16] แล้วพระองค์ก็บอกกับศิษย์ว่า “คนที่ยอมรับถ้อยคำของพวกคุณ ก็เท่ากับยอมรับเราด้วย และคนที่ไม่ยอมรับพวกคุณ ก็เท่ากับไม่ยอมรับเราด้วย แล้วคนที่ไม่ยอมรับเรา ก็เท่ากับไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ที่ส่งเรามาด้วย”[17] ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมารายงานพระเยซูด้วยความดีใจว่า “อาจารย์ครับ ตอนที่เราอ้างชื่อของอาจารย์ แม้แต่พวกผีชั่ว ยังเชื่อฟังเราเลย”[18] พระเยซูตอบว่า “เราเห็นซาตานตกลงมาจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ[19] เราให้อำนาจพวกคุณ ที่จะเหยียบย่ำงูร้ายและแมงป่อง และเราให้อำนาจเหนือศัตรูทั้งหมด ไม่มีอะไรทำร้ายพวกคุณได้[20] แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าดีใจเพราะพวกผีชั่วเชื่อฟังคุณ แต่ให้ดีใจเพราะมีชื่อของพวกคุณจดไว้บนสวรรค์แล้ว”[21] ในเวลานั้นพระเยซูเต็มไปด้วยความสุขในพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์พูดว่า “ลูกขอขอบคุณพระองค์ผู้เป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เพราะพระองค์ได้ปิดบังเรื่องเหล่านี้จากพวกที่มีการศึกษาและพวกเฉลียวฉลาด แต่เปิดเผยให้กับคนที่ไร้เดียงสาเหมือนเด็กเล็กๆได้รู้ ใช่แล้ว พระบิดา เพราะนั้นแหละเป็นไปตามความพอใจของพระองค์”[22] “พระบิดาได้ให้เรามีสิทธิอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตร และคนที่พระบุตรเลือกที่จะบอกให้รู้เกี่ยวกับพระบิดา”[23] พระเยซูหันมาพูดกับพวกศิษย์เป็นการส่วนตัวว่า “เป็นเกียรติจริงๆสำหรับพวกคุณที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้[24] เราจะบอกให้รู้ว่า มีพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และพวกกษัตริย์อยากเห็นอยากได้ยินสิ่งที่พวกคุณเห็นและได้ยินนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็นและก็ไม่ได้ยินด้วย”[25] มีคนที่เก่งกฎของโมเสสคนหนึ่ง ลุกขึ้นทดสอบพระเยซู เขาถามว่า “อาจารย์ครับ ผมจะต้องทำยังไงถึงจะมีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดไป”[26] พระเยซูตอบว่า “กฎเขียนไว้ว่าอะไร แล้วคุณตีความว่ายังไง”[27] เขาก็ตอบว่า “ให้รักองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของคุณ ด้วยสุดใจ สุดจิต สุดกำลัง และสุดความคิด และให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”[28] พระเยซูพูดว่า “ถูกต้องแล้ว ไปทำตามนั้นเถอะ แล้วจะมีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดไป” |
|
เอเฟซัส 6:5-9 |
[5] พวกคุณที่เป็นทาส ต้องเชื่อฟังเจ้านายฝ่ายโลกนี้ ควรเกรงกลัวจนตัวสั่นด้วยความจริงใจ เหมือนที่ทำกับพระคริสต์[6] อย่าทำเป็นขยันแค่ต่อหน้าเมื่อมีคนมองเพื่อประจบสอพลอ แต่ควรจะทำงานเหมือนกับเป็นทาสของพระคริสต์ ที่เต็มใจทำตามความต้องการของพระเจ้า[7] ให้เต็มใจรับใช้เหมือนกับที่ทำต่อองค์เจ้าชีวิตไม่ใช่ต่อมนุษย์[8] จำไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นทาสหรือเป็นคนอิสระก็ตาม ถ้าทำความดีก็จะได้รับสิ่งตอบแทนจากองค์เจ้าชีวิต[9] ในทำนองเดียวกัน พวกคุณที่เป็นเจ้านายอย่าได้ข่มขู่ทาสของตน จำไว้ว่าเจ้านายของคุณและของเขาก็อยู่บนสวรรค์ และพระองค์ก็ไม่ลำเอียงเข้าข้างใคร |
|
๑ โครินธ์ 13:1-13 |
[1] ถ้าผมพูดภาษาต่างๆของมนุษย์ก็ดี หรือแม้แต่ภาษาของทูตสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีความรัก ผมก็เป็นแค่เสียงอึกทึกของฆ้องหรือฉิ่งฉาบที่ตีกัน[2] ถ้าผมเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า รู้สิ่งลึกลับต่างๆของพระเจ้า มีความรู้ทุกอย่าง และมีความเชื่อทั้งหมดถึงกับเลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ผมก็ไม่มีค่าอะไรเลย[3] ถ้าผมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีไปแจกให้กับคนจนและสละร่างของตัวเองจนถึงขั้นที่โอ้อวดได้ แต่ไม่มีความรัก มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย[4] ความรักนั้นก็อดทนนาน มีเมตตากรุณา ไม่อิจฉาริษยา ไม่โอ้อวด[5] ไม่หยิ่งจองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของคนอื่น[6] ความรักไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำชั่วแต่ยินดีกับความจริง[7] ความรักปกป้องเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังเสมอ และทนต่อทุกอย่างเสมอ[8] ความรักไม่มีวันสูญสิ้นไป แต่การพูดแทนพระเจ้าจะมีวันเลิกรา การพูดภาษาแปลกๆก็จะมีวันหยุดลง พรสวรรค์ที่มีความรู้พิเศษจากพระเจ้าก็จะมีวันเลิกรา[9] เพราะเรารู้แค่เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เราพูดแทนพระเจ้าก็ได้แค่เสี้ยวเดียว[10] แต่เมื่อความสมบูรณ์แบบมาถึง อะไรก็ตามที่ไม่สมบูรณ์ก็จะหมดไป[11] ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมก็พูดเหมือนเด็ก คิดเหมือนเด็ก ใช้เหตุผลเหมือนเด็ก แต่เมื่อผมโตเป็นผู้ใหญ่ ผมก็เลิกทำตัวเหมือนเด็ก[12] ในทำนองเดียวกันสิ่งที่เราเห็นในตอนนี้เป็นภาพสะท้อนจากกระจก แต่เมื่อความสมบูรณ์แบบมาถึง ในตอนนั้นเราก็จะมองเห็นกันต่อหน้าเลย ตอนนี้ผมรู้แค่เพียงเสี้ยวเดียว แต่เมื่อถึงตอนนั้นผมก็จะรู้หมดทุกอย่าง เหมือนกับที่พระเจ้ารู้จักผม[13] แต่ตอนนี้เหลืออยู่สามอย่างคือความเชื่อ ความหวังและความรัก แต่ในสามอย่างนี้ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด |
|
โรม 6:1-23 |
[1] แล้วทีนี้จะว่ายังไง จะทำบาปต่อไปเพื่อพระเจ้าจะได้เมตตามากขึ้นอย่างนั้นหรือ[2] ไม่มีทาง ในเมื่อเราตายจากบาปแล้ว ยังจะใช้ชีวิตอยู่ในความบาปอีกได้อย่างไร[3] หรือพวกคุณไม่รู้ว่าการที่เรารับพิธีจุ่มน้ำเข้าในพระเยซูคริสต์นั้น คือการจุ่มเข้าไปในความตายของพระองค์นั่นเอง[4] ดังนั้นเมื่อเราจุ่มเข้าในความตายของพระเยซู ก็หมายถึงว่าเราถูกฝังร่วมกับพระองค์แล้ว เพื่อเราจะมีวิถีชีวิตใหม่เหมือนกับที่พระคริสต์ฟื้นขึ้นจากความตาย โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระบิดา[5] เพราะถ้าเราได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในความตายนั้น เราก็จะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการฟื้นขึ้นจากความตายด้วย[6] เรารู้ว่าคนเก่าของเราได้ถูกตรึงร่วมกันกับพระคริสต์แล้ว เพื่อตัวตนที่เต็มไปด้วยบาปจะได้หมดฤทธิ์ไป แล้วเราจะได้ไม่เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป[7] เพราะคนที่ตายแล้วก็หลุดพ้นจากอำนาจของบาป[8] เมื่อเราตายร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตร่วมกับพระองค์ด้วย[9] เรารู้ว่าพระคริสต์ ผู้ที่ฟื้นขึ้นจากความตายนั้น จะไม่มีวันตายอีกต่อไป ความตายก็ไม่ได้เป็นนายเหนือพระองค์อีกต่อไป[10] พระองค์ตายเพียงครั้งเดียวก็พอตลอดไปเพื่อชนะอำนาจของบาป ชีวิตที่พระองค์มีอยู่นี้ พระองค์อยู่เพื่อพระเจ้า[11] พวกคุณก็เหมือนกัน ให้ถือว่าตัวคุณเองตายจากบาปแล้ว และมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์นั้น[12] ดังนั้นอย่าปล่อยให้บาปมาเป็นเจ้าครอบครองร่างกายที่ต้องตายของคุณอีกเลย คือให้ความบาปทำให้คุณต้องเชื่อฟังและทำตามกิเลสตัณหาของมัน[13] คุณไม่ควรยอมให้บาปมาใช้อวัยวะส่วนไหนก็ตามของคุณเป็นเครื่องมือในการทำชั่ว แต่ให้มอบชีวิตของคุณเองกับพระเจ้า ให้สมกับเป็นคนที่ตายไปและฟื้นขึ้นมาใหม่แล้ว ดังนั้นขอให้คุณยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายคุณให้เป็นเครื่องมือในการทำความดี[14] ความบาปก็ไม่มีอำนาจเหนือพวกคุณอีกต่อไปแล้ว เพราะพวกคุณไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของกฎ แต่อยู่ใต้ความเมตตากรุณาของพระเจ้า[15] แล้วทีนี้เราจะว่าอย่างไรดี ทำบาปต่อไปดีไหม ไม่มีทาง เพราะตอนนี้เราไม่ได้อยู่ใต้กฎแล้ว แต่อยู่ใต้ความเมตตากรุณาของพระเจ้า[16] พวกคุณไม่รู้หรือว่า เมื่อคุณยอมมอบตัวเป็นทาสเชื่อฟังใครก็ตาม คุณก็เป็นทาสของคนๆนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทาสของความบาปที่ทำให้ต้องตาย หรือเป็นทาสที่เชื่อฟังพระเจ้าซึ่งจะนำไปถึงชีวิตที่พระเจ้าชอบใจ[17] แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ถึงแม้คุณจะเคยเป็นทาสของความบาปมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้คุณได้เชื่อฟังแบบอย่างคำสอนที่พระเจ้าให้ครอบครองคุณนั้นอย่างสุดหัวใจ[18] คุณจึงไม่เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป แต่เป็นทาสที่ทำตามใจพระเจ้า[19] (ที่ผมใช้ตัวอย่างเรื่องทาสมาอธิบายให้ฟัง ก็เพราะกลัวว่าคุณจะไม่เข้าใจ) ในอดีตคุณเคยมอบอวัยวะของคุณให้เป็นทาสของความสกปรกโสโครกและการแหกกฎ ซึ่งทำให้คุณแหกกฎมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้ขอให้ยอมมอบอวัยวะของคุณให้เป็นทาสที่ทำตามใจพระเจ้าซึ่งนำไปสู่ความบริสุทธิ์[20] แต่ก่อน เมื่อคุณเป็นทาสของความบาปนั้น คุณก็เป็นอิสระ ไม่ได้อยู่ใต้การควบคุมของสิ่งที่ถูกต้อง[21] แต่คุณได้อะไรบ้างจากการใช้ชีวิตแบบนั้น สิ่งที่คุณได้คือสิ่งที่คุณละอายกับมันตอนนี้ เพราะสิ่งเหล่านั้นนำไปถึงความตาย[22] แต่ตอนนี้คุณได้เป็นอิสระจากบาปและมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลที่คุณจะได้รับคือความบริสุทธิ์ที่นำไปถึงชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป[23] เพราะค่าจ้างที่ความบาปจ่ายให้กับเราคือความตาย แต่ของขวัญที่พระเจ้าให้กับเรานั้นคือชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา |
|
มัทธิว 19:1-30 |
[1] หลังจากที่พระเยซูพูดเรื่องพวกนี้แล้ว พระองค์ก็ออกจากแคว้นกาลิลีไปที่แคว้นยูเดีย ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน[2] มีคนตามพระองค์ไปเป็นจำนวนมาก และพระองค์รักษาคนป่วยที่นั่น[3] พวกฟาริสีบางคนมาหาพระองค์และทดสอบพระองค์โดยถามว่า “มันถูกกฎหรือเปล่าที่ผู้ชายจะหย่ากับภรรยาไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม”[4] พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่า ‘เมื่อเริ่มแรกพระผู้สร้างได้สร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง’[5] พระองค์พูดว่า ‘ผู้ชายจะแยกจากพ่อแม่ไปอยู่ร่วมกันกับภรรยาของเขา แล้วทั้งสองจะกลายเป็นคนๆเดียวกัน’[6] พวกเขาจึงไม่ใช่สองคนอีกต่อไป แต่เป็นคนๆเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ผูกพันเข้าด้วยกันแล้ว ก็อย่าให้ใครมาแยกออกจากกันเลย”[7] พวกฟาริสีจึงถามอีกว่า “แล้วทำไมโมเสสถึงสั่งให้ผู้ชายแค่เขียนใบหย่าให้กับภรรยา แล้วก็หย่าได้”[8] พระเยซูตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้พวกคุณหย่ากับภรรยาได้ เพราะคุณดื้อดึงไม่เชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรก[9] เราจะบอกให้รู้ว่า ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้ นอกจากเขาจะหย่าเพราะภรรยาทำบาปทางเพศเท่านั้น”[10] พวกศิษย์พูดกับพระเยซูว่า “ถ้านั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ผู้ชายจะหย่าภรรยาได้ ก็อย่าแต่งงานเสียเลยจะดีกว่า”[11] พระเยซูตอบว่า “ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะรับคำสอนนี้ได้ แต่มีบางคนที่พระเจ้าทำให้รับได้[12] มีหลายเหตุผลที่คนไม่แต่งงาน บางคนเกิดมาเป็นขันที บางคนถูกจับตอน และบางคนไม่แต่งงานเพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์ ถ้าใครสามารถอยู่เป็นโสดได้ ก็ไม่ควรแต่ง”[13] มีคนพาเด็กเล็กๆเข้ามา เพื่อให้พระเยซูวางมือ และอธิษฐานให้ แต่พวกศิษย์ได้ต่อว่าคนพวกนั้นที่พาเด็กๆมา[14] แต่พระเยซูบอกว่า “ปล่อยให้พวกเด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามพวกเขา เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของคนที่เป็นเหมือนกับเด็กเล็กๆพวกนี้”[15] หลังจากที่พระองค์วางมือบนตัวเด็กๆแล้ว พระองค์ก็ไปจากที่นั่น[16] มีชายคนหนึ่งมาหาพระเยซู และถามว่า “อาจารย์ครับ ผมจะต้องทำความดีอะไรถึงจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป”[17] พระเยซูตอบว่า “คุณถามเราทำไมว่า อะไรดี มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ดี ถ้าคุณอยากมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป ก็ต้องทำตามกฎปฏิบัติ”[18] ชายหนุ่มจึงถามว่า “กฎข้อไหนครับ” พระเยซูตอบว่า “ข้อที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่ามีชู้ อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ[19] ให้เคารพนับถือพ่อแม่ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง’ ”[20] ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า “ผมรักษากฎทั้งหมดนั้นอยู่แล้วครับ ยังมีอะไรที่ผมต้องทำอีกไหมครับ”[21] พระเยซูตอบว่า “ถ้าจะทำให้ครบถ้วน ต้องไปขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่คุณมีอยู่ แล้วเอาเงินไปแจกจ่ายให้กับคนยากจน และคุณก็จะมีทรัพย์สมบัติอยู่บนสวรรค์ แล้วมาติดตามเรา”[22] เมื่อชายหนุ่มได้ยินอย่างนั้น ก็จากไปด้วยความเศร้า เพราะเขาร่ำรวยมาก[23] พระเยซูพูดกับพวกศิษย์ว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนรวยจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์นั้นยากมาก[24] ขอย้ำอีกครั้งว่า จะให้อูฐลอดรูเข็ม ก็ยังจะง่ายกว่าให้คนรวยเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า”[25] เมื่อพวกศิษย์ได้ยินอย่างนั้นก็งงมาก และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะไปรอดได้”[26] พระเยซูมองพวกศิษย์และพูดว่า “สำหรับมนุษย์ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้”[27] เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “พวกเราได้สละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อมาติดตามอาจารย์ แล้วพวกเราจะได้รับอะไรครับ”[28] พระเยซูตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า เมื่อพระเจ้าสร้างโลกใหม่แล้ว บุตรมนุษย์จะนั่งบนบัลลังก์อันสง่างาม และพวกคุณที่ได้ติดตามเรา ก็จะขึ้นนั่งบนบัลลังก์สิบสองบัลลังก์ และตัดสินคนอิสราเอลสิบสองเผ่า[29] ทุกคนที่สละบ้านเรือน หรือพี่น้องชายหญิง หรือพ่อ หรือแม่ หรือลูก หรือไร่นา เพื่อมาติดตามเรา จะได้รับมากกว่าที่พวกเขาสละไปเป็นร้อยเท่า และจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป[30] แต่คนที่เป็นใหญ่เป็นโตที่สุดในตอนนี้จะกลายเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุด ส่วนคนที่ต่ำต้อยที่สุดในตอนนี้ จะกลายเป็นคนใหญ่คนโตที่สุด |
|
ปฐมกาล ๑๙:๑-๓๘ |
[๑] ทูตสวรรค์สององค์ได้เข้ามาในเมืองโสโดมตอนเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมือง เขาเห็นทูตสวรรค์สององค์นั้น โลทจึงลุกขึ้นเข้าไปหาพวกเขาและก้มกราบถึงพื้น[๒] โลทพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ขอได้โปรดไปแวะที่บ้านของผู้รับใช้ของท่านและค้างคืนที่นั่น จะได้ล้างเท้า แล้วตื่นแต่เช้าเดินทางต่อ” ทูตสวรรค์ตอบว่า “ไม่ล่ะ เราจะค้างคืนที่ลานเมือง นี้”[๓] แต่โลทยังตื้อพวกเขาไม่เลิก จนพวกเขายอมแวะไปพักค้างคืนที่บ้านของโลท โลทก็ได้ทำอาหารเลี้ยงพวกเขา อบขนมปังไม่ใส่เชื้อฟูให้ และพวกเขาก็กินกัน[๔] ก่อนที่พวกเขาจะเข้านอน ผู้ชายชาวเมืองโสโดม มีทั้งหนุ่มและแก่ ทั้งเมืองได้มายืนล้อมรอบบ้านโลท[๕] พวกเขาเรียกโลทออกมาถามว่า “ชายที่มาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน พาพวกเขาออกมาให้พวกเราสมสู่หน่อย”[๖] โลทออกไปนอกประตูและปิดประตูไว้[๗] แล้วโลทก็พูดว่า “พี่น้องทั้งหลาย ขอร้องเถอะ อย่าได้ทำสิ่งชั่วร้ายอย่างนี้เลย[๘] เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมมีลูกสาวสองคนที่ยังไม่เคยร่วมเพศกับใครเลย ผมจะเอาพวกนางออกมาให้กับพวกท่าน พวกท่านอยากจะทำอะไรกับพวกนาง ก็แล้วแต่พวกท่าน แต่อย่าได้ทำอะไรกับชายสองคนนี้เลย เพราะพวกเขาได้มาอยู่ร่มชายคาบ้านผม ผมจะต้องปกป้องพวกเขา”[๙] แต่ชายชาวเมืองโสโดมกลับพูดว่า “ถอยไป” และพวกเขาพูดกันว่า “โลทคนนี้มาที่นี่ในฐานะแขก แล้วตอนนี้มันจะมาตัดสินพวกเราหรือ” พวกเขาหันไปพูดกับโลทว่า “ตอนนี้พวกเราจะทำกับแกเลวร้ายยิ่งกว่าทำกับพวกนั้นอีก” พวกเขาก็รุมกันเข้ามาหาโลทและใกล้เข้ามาพังประตูแล้ว[๑๐] ชายสองคนที่อยู่ในบ้านก็ยื่นมือของพวกเขาออกมาลากโลทเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตู[๑๑] แล้วทูตสวรรค์ทั้งสองก็ทำให้พวกชายที่อยู่นอกประตูบ้านนั้นตาบอด ทั้งหนุ่มและแก่ ชายพวกนั้นพยายามจะบุกเข้าไปในบ้าน จึงคลำหาประตูบ้านกันจนหมดแรง[๑๒] ชายสองคนนั้นถามโลทว่า “มีใครในครอบครัวเจ้าอีกหรือเปล่าที่อยู่ที่นี่ ให้พาพวกเขาออกไปจากเมืองนี้ให้หมด ทั้งพวกลูกเขย พวกลูกชายลูกสาวของเจ้า และคนอื่นๆอีกที่เจ้ามีในเมืองนี้[๑๓] เพราะเรากำลังจะทำลายเมืองนี้ เพราะพระยาห์เวห์ได้ยินว่าเมืองนี้ชั่วร้ายนัก พระองค์จึงได้ส่งพวกเราให้มาทำลายเมืองนี้”[๑๔] แล้วโลทได้ออกไปบอกกับพวกคู่หมั้น คือพวกผู้ชายที่หมั้นกับพวกลูกสาวของเขาว่า “ลุกขึ้น ไปจากที่นี่เร็ว เพราะพระยาห์เวห์กำลังจะทำลายเมืองนี้” แต่พวกลูกเขยคิดว่าโลทกำลังล้อเล่น[๑๕] เมื่อถึงตอนเช้า ทูตสวรรค์ก็เร่งโลท บอกว่า “ลุกขึ้นเร็ว รีบเอาเมียและลูกสาวสองคนของเจ้า ที่อยู่ที่นี่ออกไปจากเมืองนี้ ไม่อย่างนั้น ตอนที่เมืองนี้ถูกลงโทษ เจ้าจะถูกทำลายไปด้วย”[๑๖] แต่โลทยังชักช้าอยู่ ชายสองคนนั้นจึงคว้ามือของเขา ทั้งเมียและลูกสาวของโลท เพราะพระยาห์เวห์มีเมตตาต่อโลท และทูตสวรรค์ได้พาพวกเขาออกไปทิ้งไว้นอกเมือง[๑๗] เมื่อทูตสวรรค์ได้พาพวกเขาออกไปนอกเมืองแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้พูดว่า “ให้วิ่งสุดชีวิตเลย ห้ามเหลียวหลังมามอง และอย่าหยุดที่หุบเขาไหนๆเลย ให้วิ่งไปที่เทือกเขาพวกนั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกทำลาย”[๑๘] แล้วโลทพูดกับพวกเขาว่า “ขออย่าได้ทำอย่างนั้นเลยเจ้านายของข้าพเจ้า[๑๙] ดูสิ ท่านได้กรุณากับข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน และท่านได้แสดงความเมตตากับข้าพเจ้าอย่างใหญ่หลวง ที่ช่วยชีวิตของข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าวิ่งหนีไปที่เทือกเขาพวกนั้นไม่ทันแน่ ความหายนะคงถึงตัวข้าพเจ้าก่อน และข้าพเจ้าก็จะตาย[๒๐] ดูสิครับ เมืองนั้นอยู่ใกล้กับเมืองนี้ พอที่ข้าพเจ้าจะวิ่งไปทัน และเป็นเมืองเล็ก ขอให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่นเถิด มันเป็นเมืองเล็กๆแล้วท่านจะได้ช่วยชีวิตของข้าพเจ้า”[๒๑] แล้วทูตสวรรค์ก็พูดกับโลทว่า “ตกลง เราจะให้เจ้าวิ่งไปที่นั่น เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นที่ท่านพูดถึง[๒๒] เร็วเข้า รีบหนีไปที่นั่น เราจะยังทำอะไรไม่ได้ จนกว่าเจ้าจะวิ่งไปถึงที่นั่น” (เมืองนั้นจึงมีชื่อว่าโศอาร์ )[๒๓] เมื่อตะวันโผล่ขึ้นมา โลทได้มาถึงเมืองโศอาร์[๒๔] พระยาห์เวห์ได้ส่งไฟกำมะถันและลูกไฟตกลงมาใส่เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ เหมือนห่าฝนจากท้องฟ้า[๒๕] และพระองค์ได้ทำลายเมืองเหล่านั้น ตลอดจนหุบเขาทั้งหมด และคนที่อาศัยอยู่ในเมืองพวกนั้นทุกคน และทุกสิ่งทุกอย่างที่งอกขึ้นมาจากพื้นดิน[๒๖] เมียของโลทได้เหลียวหลังไปดู ร่างของนางได้กลายเป็นเสาเกลือไป[๒๗] อับราฮัมตื่นแต่เช้ามืดและไปยังสถานที่ที่เขายืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์[๒๘] อับราฮัมมองลงไปยังเมืองโสโดมและโกโมราห์และหุบเขาทั้งหมด เขาเห็นควันลอยขึ้นจากแผ่นดินนั้น เหมือนควันจากเตาหลอมโลหะ[๒๙] เมื่อพระยาห์เวห์ทำลายเมืองต่างๆในหุบเขา พระองค์ได้ระลึกถึงอับราฮัม พระองค์จึงนำโลทออกมาจากความหายนะนั้น ตอนที่พระองค์ทำลายเมืองต่างๆพวกนั้นที่โลทเคยอยู่[๓๐] จากเมืองโศอาร์ โลทได้ขึ้นไปอาศัยอยู่ตามเทือกเขาต่างๆพร้อมกับลูกสาวสองคนของเขา เพราะโลทกลัวที่จะอาศัยอยู่ในเมืองโศอาร์ เขาและลูกสาวทั้งสองอาศัยอยู่ในถ้ำ[๓๑] พี่สาวคนโตพูดกับน้องสาวว่า “พ่อของเราแก่แล้ว และไม่มีผู้ชายคนใดในดินแดนนี้ที่จะมาแต่งงานกับเรา เหมือนกับที่คนอื่นๆบนโลกนี้เขาทำกัน[๓๒] ไปเถอะ ไปให้พ่อเราดื่มเหล้าองุ่นกัน แล้วพี่จะเข้าไปร่วมหลับนอนกับพ่อ เราจะได้มีผู้สืบเชื้อสายต่อไป ผ่านทางพ่อของเรา”[๓๓] แล้วในคืนนั้น ลูกสาวทั้งสองคนของโลทให้พ่อของนางดื่มเหล้าองุ่นจนเมามาย แล้วลูกสาวคนโตได้เข้าไปมีเพศสัมพันธ์กับโลท แต่โลทไม่รู้ตัวเลยว่านางเข้ามานอนกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่และลุกขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่[๓๔] วันต่อมาพี่สาวคนโตพูดกับน้องสาวว่า “ดูสิ เมื่อคืนนี้ พี่ได้เข้าไปร่วมหลับนอนกับพ่อแล้ว ให้เราไปมอมเหล้าองุ่นพ่ออีกคืนนี้ น้องจะได้เข้าไปร่วมหลับนอนกับพ่อ เพื่อว่าเราจะได้มีผู้สืบเชื้อสายผ่านทางพ่อเรา”[๓๕] แล้วในคืนนั้น ลูกสาวทั้งสองคน ได้มอมเหล้าองุ่นพ่อจนเมามาย แล้วลูกคนเล็กก็เข้าไปมีเพศสัมพันธ์กับโลท แต่โลทไม่รู้ตัวเลยว่านางมานอนกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ และนางลุกขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่[๓๖] ลูกสาวทั้งสองคนของโลทได้ตั้งท้องกับพ่อของนาง[๓๗] ลูกสาวคนโตคลอดลูกชาย นางตั้งชื่อเขาว่า โมอับ เขาเป็นบรรพบุรุษของชาวโมอับจนทุกวันนี้[๓๘] ลูกสาวคนเล็กคลอดลูกชายเหมือนกัน เธอตั้งชื่อเขาว่าเบน-อัมมี เขาเป็นบรรพบุรุษของชาวอัมโมนจนทุกวันนี้ |
|
Thai Bible (ERV) 2001 |
Copyright © 2001 by Bible League International |