โคโลสี 3:12 |
ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นคนที่พระเจ้าได้เลือก เป็นคนของพระเจ้า และเป็นคนที่พระองค์รัก ก็ให้สวมใส่ความเห็นอกเห็นใจ ความมีน้ำใจ ความถ่อมตน ความสุภาพอ่อนโยน และความอดทน |
|
อพยพ ๓๓:๑๙ |
พระยาห์เวห์จึงพูดว่า “เราจะทำให้ความดีทั้งหมดของเรา ผ่านไปต่อหน้าเจ้า และเราจะเรียกชื่อพระยาห์เวห์ต่อหน้าเจ้า เราอยากจะทำดีกับใคร เราก็จะทำดีกับคนนั้น เราอยากจะเมตตาใคร เราก็จะเมตตาคนนั้น” |
|
อิสยาห์ ๓๐:๑๘ |
อย่างนั้น พระยาห์เวห์กำลังเฝ้าคอยให้พวกเจ้ากลับมาหาพระองค์เพื่อพระองค์จะได้อวยพรเจ้า พระองค์จะลุกขึ้นมาแสดงความเมตตากับพวกเจ้า เพราะพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าที่สัตย์ซื่อยุติธรรม พวกที่อดทนรอคอยพระองค์ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ |
|
อิสยาห์ ๔๙:๑๐-๑๓ |
[๑๐] พวกเขาจะไม่ขาดอาหารหรือน้ำ แสงแดดและลมร้อนของทะเลทรายจะไม่โจมตีพวกเขา เพราะพระองค์ผู้ปลอบโยนพวกเขาจะนำหน้าพวกเขา และพระองค์จะนำทางพวกเขาไปถึงตาน้ำทั้งหลาย[๑๑] เราจะทำให้ภูเขาทั้งหลายของเราแบนเป็นถนน และถมที่ต่ำขึ้นมาเป็นทางหลวงของเรา[๑๒] ดูสิ จะมีบางคนมาจากแดนไกล จะมีบางคนมาจากทิศเหนือและทิศตะวันตก และจะมีบางคนมาจากทางภาคใต้ของอียิปต์”[๑๓] ฟ้าสวรรค์เอ๋ย ร้องเพลงเถิด แผ่นดินโลกเอ๋ย ชื่นชมยินดีเถิด ภูเขาทั้งหลายเอ๋ย ระเบิดเป็นเสียงเพลงแห่งความชื่นชมยินดีเถิด เพราะพระยาห์เวห์ได้ปลอบโยนคนของพระองค์ และพระองค์จะให้ความรักกับคนของพระองค์ที่ทุกข์ยากลำบาก |
|
อิสยาห์ ๕๔:๑๐ |
ถึงแม้พวกภูเขาจะเคลื่อนไป และเนินเขาต่างๆจะสั่นคลอน แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่มีวันเคลื่อนไปจากเจ้า และข้อตกลงที่เราสัญญาว่าจะให้สันติภาพนั้นก็จะไม่มีวันสั่นคลอน พระยาห์เวห์ ที่เมตตาเจ้า พูดไว้ว่าอย่างนี้ |
|
อิสยาห์ ๖๓:๗ |
ผมจะเล่าถึงเรื่องต่างๆที่พระยาห์เวห์ได้แสดงความเมตตากับเรา เป็นเรื่องที่น่ายกย่องสรรเสริญ เราควรจะสรรเสริญพระองค์สำหรับเรื่องทุกอย่างที่พระองค์ทำเพื่อพวกเรา สำหรับความดีงามที่ยิ่งใหญ่ที่พระองค์มีต่อครอบครัวของอิสราเอล พระองค์ได้แสดงความเมตตาปรานีต่อพวกเรา พระองค์ได้ช่วยพวกเราด้วยความรักมั่นคงครั้งแล้วครั้งเล่า |
|
ยากอบ ๕:๑๑ |
เราถือว่าพวกคนที่อดทนอดกลั้นนั้นมีเกียรติจริงๆ คุณก็เคยได้ยินเรื่องความอดทนอดกลั้นของโยบ มาแล้วนี่ และรู้ว่าตอนจบองค์เจ้าชีวิตได้ให้อะไรกับเขาบ้าง เพราะองค์เจ้าชีวิตนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาสงสาร |
|
เพลงคร่ำครวญ ๓:๓๒ |
ถ้าพระองค์เป็นผู้ที่ทำให้เกิดความทุกข์ยากขึ้น พระองค์ก็จะแสดงความเมตตาเหมือนกัน ตามความรักมั่นคงอันเหลือเฟือของพระองค์ |
|
สดุดี ๕๑:๑ |
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด เขียนตอนที่นาธันผู้พูดแทนพระเจ้ามาหาดาวิด หลังจากที่ดาวิดไปมีเพศสัมพันธ์กับบัทเชบาแล้ว ข้าแต่พระเจ้า โปรดแสดงความรักมั่นคงของพระองค์ และมีเมตตาปรานีต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด โปรดแสดงความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์และขจัดการกบฏของข้าพเจ้าด้วยเถิด |
|
สดุดี ๑๐๓:๑๓ |
พ่อใจดีต่อลูกยังไง พระยาห์เวห์ก็ใจดีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์อย่างนั้น |
|
สดุดี ๑๑๖:๕ |
พระยาห์เวห์นั้นมีน้ำใจและทำในสิ่งที่ถูกต้อง พระเจ้าของเรานั้นเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา |
|
สดุดี ๑๑๙:๗๗ |
ช่วยส่งความเมตตาของพระองค์มายังทางของข้าพเจ้าด้วยเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีชีวิตต่อไป เพราะข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับคำสั่งสอนของพระองค์ |
|
สดุดี ๑๑๙:๑๕๖ |
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ความเมตตากรุณาของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ ขอโปรดช่วยชีวิตของข้าพเจ้าด้วยเถิด เพราะพระองค์นั้นยุติธรรม |
|
สดุดี ๑๔๕:๙ |
พระยาห์เวห์ดีกับทุกคน และพระองค์มีเมตตากับทุกอย่างที่พระองค์สร้างขึ้นมา |
|
โรม ๙:๑๕ |
เพราะพระองค์พูดกับโมเสสว่า “เราอยากจะเมตตาใคร เราก็จะเมตตาคนนั้น เราอยากจะสงสารใคร เราก็จะสงสารคนนั้น” |
|
๒ โครินธ์ ๑:๓-๔ |
[๓] สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พระบิดาผู้เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา พระเจ้าผู้ที่ปลอบโยนเราในทุกเรื่อง[๔] เมื่อเรามีความทุกข์ พระองค์ปลอบโยนเรา เพื่อว่าเมื่อคนอื่นมีความทุกข์ เราจะได้ปลอบโยนเขาเหมือนกับที่พระเจ้าทำกับเรา |
|
ฟีลิปปี ๒:๑-๓ |
[๑] ดังนั้น ถ้าพวกคุณได้รับกำลังใจเพราะมีส่วนร่วมกับพระคริสต์ ถ้าได้รับการปลอบใจจากความรัก ถ้าได้ใช้ชีวิตร่วมกันเพราะมีส่วนร่วมในพระวิญญาณ และได้รับความรักใคร่เอ็นดูและความเห็นอกเห็นใจ[๒] ผมก็ขอให้คุณทำสิ่งที่จะให้ความสุขกับผมอย่างเต็มที่ คือการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน เป็นใจเดียวกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน[๓] อย่าทำอะไรที่ชิงดีชิงเด่นกัน หรือเพราะหลงคิดว่าตัวเองเก่ง แต่ให้ถ่อมตัวลง และมองคนอื่นว่าสำคัญกว่าตัวเอง |
|
มัทธิว ๙:๓๕-๓๘ |
[๓๕] พระเยซูเดินทางไปทั่วทุกเมืองและทุกหมู่บ้าน ไปสั่งสอนในที่ประชุมชาวยิว และประกาศข่าวดีเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า พร้อมกับรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆด้วย[๓๖] เมื่อพระองค์เห็นคนมากมาย พระองค์ก็รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขามีปัญหาและไม่มีที่พึ่ง เหมือนฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง[๓๗] พระองค์พูดกับพวกศิษย์ว่า “พืชผลที่จะให้เก็บเกี่ยวนั้นมีมากมาย แต่คนงานมีน้อย[๓๘] ดังนั้นให้อ้อนวอนขอพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของพืชผล ให้ส่งคนงานมาช่วยเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์ด้วย” |
|
สดุดี ๑๐๓:๑-๕ |
[๑] บทเพลงของดาวิด จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด หัวใจทั้งดวงของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เถิด[๒] จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด และอย่าลืมบุญคุณทั้งสิ้นของพระองค์[๓] พระองค์คือผู้ที่อภัยให้กับความผิดบาปทั้งสิ้นของเจ้า พระองค์คือผู้ที่รักษาเจ้าให้หายจากความเจ็บป่วยทั้งสิ้น[๔] พระองค์คือผู้ที่ไถ่ชีวิตเจ้าจากหลุมศพ พระองค์คือผู้ที่เอาความรักมั่นคงและความเมตตากรุณามาสวมเป็นมงกุฎให้กับเจ้า[๕] พระองค์คือผู้ที่ทำให้ชีวิตของเจ้าเต็มอิ่มไปด้วยของดีๆ และพระองค์ทำให้เจ้าเป็นหนุ่มอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับนกอินทรีหนุ่ม |
|
มัทธิว ๒๐:๒๙-๓๔ |
[๒๙] เมื่อพระเยซูและพวกศิษย์กำลังออกจากเมืองเยริโค ก็มีฝูงชนเดินตามเป็นจำนวนมาก[๓๐] มีชายตาบอดสองคนนั่งอยู่ริมถนน เมื่อได้ยินว่าพระเยซูกำลังผ่านมา ก็เริ่มร้องตะโกนว่า “องค์เจ้าชีวิต บุตรของดาวิด สงสารพวกเราด้วยเถอะ”[๓๑] ฝูงชนต่อว่าพวกเขาให้เงียบ แต่เขาทั้งสองยิ่งตะโกนดังขึ้นอีกว่า “องค์เจ้าชีวิต บุตรของดาวิด สงสารพวกเราด้วยเถอะ”[๓๒] พระเยซูจึงหยุดและเรียกพวกเขาเข้ามาถามว่า “อยากให้เราช่วยอะไร”[๓๓] พวกเขาตอบว่า “องค์เจ้าชีวิต พวกเราอยากจะมองเห็น”[๓๔] พระเยซูรู้สึกสงสารพวกเขา จึงแตะดวงตาพวกเขา พวกเขาก็มองเห็นได้ทันที แล้วก็ติดตามพระองค์ไป |
|
มัทธิว ๑๔:๑๓-๒๑ |
[๑๓] เมื่อพระเยซูได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับยอห์น พระองค์ได้ลงเรือไปยังที่เปลี่ยวเพียงคนเดียว เมื่อผู้คนจากหมู่บ้านต่างๆได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็เดินเท้าติดตามพระองค์[๑๔] เมื่อพระองค์มาถึงฝั่งก็เห็นฝูงชนเป็นจำนวนมากรออยู่ก่อนแล้ว พระองค์รู้สึกสงสารและได้รักษาโรคให้กับคนป่วย[๑๕] เมื่อถึงตอนเย็น พวกศิษย์มาบอกพระเยซูว่า “ที่นี่ก็เปลี่ยวมากและนี่ก็เย็นมากแล้ว ส่งฝูงชนพวกนี้กลับไปเถอะ พวกเขาจะได้เข้าไปตามหมู่บ้านต่างๆหาซื้ออาหารกินกัน”[๑๖] แต่พระเยซูตอบว่า “พวกเขาไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่นี่แหละ พวกคุณไปหาอาหารมาเลี้ยงพวกเขาสิ”[๑๗] พวกศิษย์ตอบว่า “พวกเราไม่มีอะไรเลยนอกจากขนมปังห้าก้อน กับปลาสองตัวเท่านั้น”[๑๘] พระเยซูบอกว่า “เอามานี่สิ”[๑๙] พระเยซูสั่งให้ฝูงชนนั่งลงบนหญ้า แล้วพระองค์หยิบขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวมา พระเยซูมองขึ้นไปบนสวรรค์ ขอบคุณพระเจ้าแล้วพระองค์แบ่งขนมปังให้กับพวกศิษย์ แล้วพวกศิษย์ก็แจกขนมปังให้ประชาชน[๒๐] ทุกคนกินกันจนอิ่ม และพวกศิษย์ยังเก็บเศษอาหารที่เหลือได้จนเต็มสิบสองเข่ง[๒๑] คนที่กินอาหารอยู่ที่นั่นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก |
|
มัทธิว ๑๕:๒๙-๓๙ |
[๒๙] พระเยซูออกจากที่นั่น เดินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลีและขึ้นไปบนภูเขา แล้วนั่งพักอยู่บนนั้น[๓๐] มีฝูงชนจำนวนมากมาหาพระเยซู พวกเขาพาคนง่อย คนตาบอด คนพิการ คนใบ้ และคนที่เป็นโรคอื่นๆอีกมากมายมาด้วย และเอามาวางนอนอยู่ที่เท้าของพระองค์ แล้วพระองค์ได้รักษาทุกคนจนหายหมด[๓๑] ผู้คนต่างก็พากันประหลาดใจ เมื่อเห็นคนใบ้พูดได้ คนพิการก็หาย คนขาเป๋เดินได้ และคนตาบอดก็มองเห็น ทุกคนต่างพากันสรรเสริญพระเจ้าของอิสราเอล[๓๒] พระเยซูเรียกพวกศิษย์ของพระองค์มา แล้วพูดว่า “สงสารคนพวกนี้จริงๆเพราะเขาอยู่ที่นี่กับเรามาสามวันแล้ว และไม่มีอะไรกินด้วย ไม่อยากจะส่งพวกเขากลับไปทั้งๆที่ยังหิวอยู่ อาจจะไปเป็นลมกลางทางได้”[๓๓] พวกศิษย์จึงพูดว่า “ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งอย่างนี้ จะไปเอาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงคนตั้งมากมายขนาดนี้ได้ล่ะครับ”[๓๔] พระเยซูถามว่า “พวกคุณมีขนมปังอยู่กี่ก้อน” พวกศิษย์ตอบว่า “เจ็ดก้อนกับปลาตัวเล็กๆอีกไม่กี่ตัว”[๓๕] พระเยซูบอกให้ฝูงชนนั่งลงกับพื้น[๓๖] พระองค์เอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนและปลามา ขอบคุณพระเจ้า แล้วหักขนมปังและปลาส่งให้พวกศิษย์ พวกศิษย์ก็เอาไปแจกให้กับฝูงชนกินกัน[๓๗] เมื่อทุกคนกินอิ่มแล้ว พวกศิษย์เก็บเศษอาหารที่เหลือได้เจ็ดเข่งเต็มๆ[๓๘] นับผู้ชายที่กินอยู่ที่นั่นได้สี่พันคน ไม่รวมผู้หญิงและเด็ก[๓๙] หลังจากที่พระเยซูส่งทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว พระองค์ก็ลงเรือไปแคว้นมากาดาน |
|
มัทธิว ๖:๓๐-๔๔ |
[๓๐] ดูอย่างหญ้าในทุ่งสิ มันอยู่แค่วันนี้ พรุ่งนี้ก็ถูกเผาไฟแล้ว แต่พระเจ้ายังตกแต่งให้สวยถึงขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับพวกคุณเล่า พระองค์จะไม่ยิ่งตกแต่งให้มากกว่าทุ่งหญ้าหรือ พวกคุณนี่ช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริงๆ[๓๑] ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่า ‘จะมีอะไรกินไหม’ หรือ ‘จะมีอะไรดื่มไหม’ หรือ ‘จะมีอะไรใส่ไหม’[๓๒] พวกที่ไม่รู้จักพระเจ้าก็ดิ้นรนหาสิ่งเหล่านี้กัน แต่พระบิดาของคุณที่อยู่บนสวรรค์รู้อยู่แล้วว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับคุณ[๓๓] แต่ให้ดิ้นรนหาอาณาจักรของพระเจ้าและชีวิตที่ทำตามใจพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะให้สิ่งที่จำเป็นทั้งหมดนี้กับพวกคุณเอง[๓๔] ดังนั้นไม่ต้องกังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็มีเรื่องกังวลของมันอยู่แล้ว แต่ละวันก็มีปัญหามากพออยู่แล้วสำหรับวันนั้น[๓๕] อย่าตัดสินคนอื่นแล้วพระเจ้าจะไม่ตัดสินคุณ[๓๖] เพราะคุณตัดสินคนอื่นอย่างไร พระเจ้าก็จะตัดสินคุณอย่างนั้น คุณใช้วิธีอะไรตัดสินคนอื่น พระเจ้าก็จะใช้วิธีนั้นตัดสินคุณ[๓๗] ทำไมคุณถึงเห็นขี้ผงในตาของพี่น้องคุณ แต่กลับมองไม่เห็นไม้ซุงทั้งท่อนในตาของตัวเอง[๓๘] คุณพูดกับพี่น้องออกมาได้ยังไงว่า ‘เดี๋ยวผมจะเขี่ยขี้ผงออกจากตาให้’ ทั้งๆที่ยังมีไม้ซุงทั้งท่อนอยู่ในตาของคุณเอง[๓๙] ไอ้หน้าซื่อใจคด เอาไม้ซุงออกจากตาของตัวเองก่อน จะได้มองเห็นชัดๆตอนเขี่ยขี้ผงออกจากตาของพี่น้อง[๔๐] อย่าเอาของวิเศษให้กับหมา อย่าโยนไข่มุกให้กับหมู เพราะมันจะเหยียบย่ำของเหล่านั้น และหันกลับมากัดคุณด้วย[๔๑] ขอสิแล้วจะได้ หาสิแล้วจะพบ เคาะสิแล้วประตูจะเปิดให้[๔๒] เพราะทุกคนที่ขอก็จะได้ ทุกคนที่หาก็จะพบ และทุกคนที่เคาะประตูก็จะเปิดให้[๔๓] มีใครบ้างในพวกคุณ ถ้าลูกขอขนมปัง จะเอาก้อนหินให้[๔๔] หรือถ้าลูกขอปลา จะเอางูพิษให้ |
|
ลูกา ๑๕:๑๑-๓๒ |
[๑๑] พระเยซูพูดว่า “ชายคนหนึ่งมีลูกชายสองคน[๑๒] ลูกคนเล็กพูดว่า ‘พ่อครับ ช่วยแบ่งสมบัติส่วนที่เป็นของลูกให้ด้วย’ พ่อจึงแบ่งสมบัติให้กับลูกชายทั้งสองไป[๑๓] หลังจากนั้นไม่นาน ลูกคนเล็กก็รวบรวมทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา เดินทางไปเมืองไกล และเขาก็ใช้จ่ายเงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่าย[๑๔] จนหมดเนื้อหมดตัว พอเกิดกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วแผ่นดินนั้น เขาก็เริ่มไม่มีอะไรจะกิน[๑๕] เขาก็เลยไปรับจ้างทำงานกับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง เขาถูกส่งให้ไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา[๑๖] เขาหิวมาก อยากจะกินอาหารที่หมูกิน แต่ก็ไม่มีใครให้อะไรเขากินเลย[๑๗] ในที่สุด เขาก็สำนึกตัวได้และพูดว่า ‘ลูกจ้างของพ่อเรามีอาหารกินอย่างเหลือเฟือ แต่ดูเราสิ กำลังจะอดตายอยู่แล้ว[๑๘] เราจะกลับไปหาพ่อและพูดกับพ่อว่า “พ่อครับ ลูกได้ทำบาปต่อพระเจ้าและต่อตัวพ่อ[๑๙] ลูกไม่สมควรที่จะเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป ให้ลูกเป็นลูกจ้างคนหนึ่งของพ่อเถอะครับ”’[๒๐] ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นกลับไปหาพ่อของเขา ขณะที่เขายังอยู่แต่ไกล พ่อของเขาก็มองเห็นและเวทนาสงสาร วิ่งออกไปสวมกอดและจูบเขา[๒๑] ลูกชายจึงพูดว่า ‘พ่อครับ ลูกได้ทำบาปต่อพระเจ้าและต่อพ่อ ลูกไม่สมควรที่จะเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป’[๒๒] แต่พ่อหันไปสั่งคนใช้ว่า ‘เร็วๆเข้าไปเอาเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาใส่ให้เขา เอาแหวนมาสวมนิ้วเขาและเอารองเท้ามาใส่ให้เขาด้วย[๒๓] แล้วไปฆ่าลูกวัวตัวอ้วนพีมาเลี้ยงฉลองกัน[๒๔] เพราะลูกข้าคนนี้ ได้ตายไปแล้วแต่ฟื้นขึ้นมาใหม่ เคยหลงหายไปแต่ตอนนี้พบแล้ว’ แล้วพวกเขาก็เลี้ยงฉลองกัน[๒๕] เมื่อลูกชายคนโตที่ทำงานอยู่ในทุ่งกลับมาใกล้จะถึงบ้าน เขาได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงกัน[๒๖] จึงเรียกคนใช้เข้าไปถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’[๒๗] คนใช้จึงตอบว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาบ้านด้วยความปลอดภัย พ่อของท่านก็เลยให้ฆ่าลูกวัวตัวอ้วนพีเลี้ยงฉลองกัน’[๒๘] พี่ชายโกรธมากและไม่ยอมเข้าไปในงานเลี้ยง พ่อเขาจึงออกมาขอร้องให้เข้าไปข้างใน[๒๙] แต่เขาตอบพ่อไปว่า ‘ดูเอาเถอะ ผมรับใช้พ่อมาหลายปี และไม่เคยขัดคำสั่งพ่อเลย แต่พ่อยังไม่เคยให้อะไรผมเลย แม้แต่แพะสักตัวเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนฝูงก็ไม่มี[๓๐] แต่พอไอ้ลูกของพ่อคนนี้กลับมา หลังจากที่ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อไปกับหญิงโสเภณีจนหมดเกลี้ยง พ่อก็ฆ่าลูกวัวตัวอ้วนพีฉลองให้กับมัน’[๓๑] พ่อจึงพูดว่า ‘ลูกรัก ลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลา ทรัพย์สมบัติทุกอย่างของพ่อก็เป็นของลูกอยู่แล้ว[๓๒] แต่พวกเราควรจะดีใจและเฉลิมฉลองกัน เพราะน้องตายไปแล้วแต่ฟื้นขึ้นมาใหม่ หลงหายไปแล้วแต่กลับพบกันอีก’” |
|
Thai Bible (ERV) 2001 |
Copyright © 2001 by Bible League International |