๒ พงศาวดาร ๙:๑-๓๐ |
๑. เมื่อราชินีของเชบาได้ยินถึงชื่อเสียงของซาโลมอน นางมาที่เมืองเยรูซาเล็มเพื่อทดสอบเขาด้วยคำถามยากๆหลายข้อ นางเดินทางมาพร้อมกับข้าราชการมากมาย และมีฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศมากมาย ทองคำจำนวนมากและพลอยมีค่าหลายชนิด นางมาพบกับซาโลมอนและคุยกับเขาเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่นางคิดไว้ |
๒. ซาโลมอนตอบคำถามทั้งหมดของนางได้ ไม่มีข้อใดเลยที่ยากเกินไปสำหรับซาโลมอนที่จะอธิบายให้กับนางได้เข้าใจ |
๓. เมื่อราชินีของเชบาเห็นความเฉลียวฉลาดของซาโลมอน อีกทั้งเห็นวังที่เขาสร้างขึ้น |
๔. ตลอดจนอาหารต่างๆบนโต๊ะของเขา ที่นั่งของพวกเจ้าหน้าที่ของเขา พวกผู้รับใช้ของเขาและเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่อยู่ พวกผู้ถือถ้วยของเขาและชุดที่พวกเขาใส่อยู่ และเครื่องเผาบูชาทั้งหลายที่เขาถวายอยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์ นางก็รู้สึกตกตะลึงจนลืมหายใจ |
๕. นางพูดกับกษัตริย์ว่า “ข่าวที่เราได้ยินในประเทศของเราเกี่ยวกับความสำเร็จต่างๆและความเฉลียวฉลาดของท่านล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น |
๖. แต่เราไม่เคยเชื่อสิ่งเหล่านี้มาก่อน จนกระทั่งเราได้มาเห็นกับตาของเราเอง อันที่จริง ความเฉลียวฉลาดที่พวกเขาพูดนั้นยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความเฉลียวฉลาดอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีเสียด้วยซ้ำ ท่านดีกว่าที่เราได้ยินมามากนัก |
๗. คนของท่าน ช่างได้เกียรติจริงๆ พวกเจ้าหน้าที่ของท่านนี่ช่างได้เกียรติจริงๆ คนพวกนี้ได้ยืนอยู่ต่อหน้าท่านตลอดเวลา และได้ฟังความเฉลียวฉลาดของท่าน |
๘. ขอสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ที่ชื่นชมในตัวท่านและวางท่านไว้บนบัลลังก์ของพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ปกครองให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เป็นเพราะความรักของพระเจ้าของท่านที่มีให้กับชนชาติอิสราเอลและความต้องการของพระองค์ที่จะโอบอุ้มพวกเขาไว้ตลอดไป พระองค์ได้ทำให้ท่านเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความยุติธรรมและความถูกต้องไว้” |
๙. แล้วนางก็มอบทองคำประมาณสี่ตัน เครื่องเทศเป็นจำนวนมาก และพลอยมีค่าอีกหลายอย่างให้กับกษัตริย์ ไม่เคยมีใครนำเครื่องเทศมามากมายเท่ากับที่ราชินีแห่งเชบาเอามาให้กับกษัตริย์ซาโลมอน |
๑๐. (คนของฮีรามและคนของซาโลมอนได้นำทองคำมาจากโอฟีร์ พวกเขายังได้นำไม้แก่นจันทน์แดงและพลอยมีค่ามาด้วย |
๑๑. กษัตริย์ใช้ไม้แก่นจันทน์แดงทำขั้นบันไดของวิหาร ของพระยาห์เวห์ กับบันไดของวังกษัตริย์ และยังใช้ทำพิณใหญ่กับพิณเล็ก สำหรับพวกนักดนตรี ยังไม่เคยมีใครเคยเห็นของสวยเหมือนของพวกนี้มาก่อนในยูดาห์) |
๑๒. กษัตริย์ซาโลมอนให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ราชินีของเชบาอยากได้และที่นางขอจากเขา ซาโลมอนให้ของกับนางมากกว่าของที่นางนำมาให้เขาเสียอีก แล้วนางก็จากไปและกลับประเทศของนางพร้อมกับพวกข้าราชการของนาง |
๑๓. ซาโลมอนรับทองคำในแต่ละปีหนักประมาณยี่สิบสามตัน |
๑๔. ไม่รวมถึงทองคำที่ได้จากพวกพ่อค้าเร่ และพวกที่ค้าขายเป็นประจำ และกษัตริย์ทั้งหลายแห่งอาระเบียและพวกผู้ว่าได้นำเงินและทองมาให้กับซาโลมอนด้วย |
๑๕. กษัตริย์ซาโลมอนสร้างโล่ขนาดใหญ่สองร้อยอันที่ทำจากทองคำที่ตีแล้ว โดยโล่แต่ละอันใช้ทองคำที่ตีแล้วหนักสามกิโลครึ่ง |
๑๖. เขายังสร้างโล่ขนาดเล็กขึ้นสามร้อยอันที่ทำจากทองคำที่ตีแล้วด้วย โดยโล่แต่ละอันใช้ทองคำหนักหนึ่งกิโลเจ็ดขีด กษัตริย์ได้เก็บพวกมันไว้ในวังที่มีชื่อว่า “ป่าแห่งเลบานอน” |
๑๗. แล้วกษัตริย์ก็สร้างบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ขึ้นบัลลังก์หนึ่ง โดยฝังงาช้างไว้และบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ |
๑๘. บัลลังก์นี้มีบันไดหกขั้นและมีที่รองเท้า อันหนึ่งทำจากทองคำติดอยู่กับบัลลังก์ มีที่วางแขนอยู่ทั้งสองข้างของที่นั่ง มีรูปปั้นสิงห์สองตัวยืนอยู่ที่ด้านข้างของบัลลังก์ |
๑๙. บันไดทั้งหกขั้นนี้ ที่ปลายทั้งสองด้านของบันไดแต่ละขั้นมีรูปปั้นสิงห์อยู่ข้างละตัว รวมทั้งหมดสิบสองตัว ไม่มีอาณาจักรไหนเคยทำได้อย่างนี้มาก่อน |
๒๐. ถ้วยสำหรับดื่มเหล้าทั้งหมดของซาโลมอนทำจากทองคำ และข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างในวังของป่าแห่งเลบานอนล้วนทำจากทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรที่ทำจากเงินเลย เพราะในยุคของซาโลมอน เงินแทบจะไม่มีค่าอะไรเลย |
๒๑. กษัตริย์มีกองเรือสำหรับค้าขายที่ควบคุมดูแลโดยคนของฮีราม เรือเหล่านี้จะกลับมาทุกๆสามปีโดยนำทองคำ เงินและงาช้างรวมทั้งลิงตัวใหญ่และลิงบาบูนกลับมาด้วย |
๒๒. กษัตริย์ซาโลมอนล้ำหน้ากษัตริย์ทุกองค์ในโลกนี้ในเรื่องความร่ำรวยและความเฉลียวฉลาด |
๒๓. กษัตริย์ทุกองค์ในโลกต่างพากันมาขอเข้าพบซาโลมอน เพื่อที่จะได้ฟังความเฉลียวฉลาดของเขาที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในใจของเขา |
๒๔. ปีแล้วปีเล่า ทุกๆคนที่มาต่างก็นำของขวัญมาให้เขา ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือทองคำ เสื้อผ้า อาวุธ เครื่องเทศ ม้าหรือล่อ |
๒๕. ซาโลมอนมีคอกม้าถึงสี่พันคอก กับรถรบอีกหลายคัน เขามีม้าทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันตัวซึ่งได้เก็บอยู่ในเมืองที่เก็บรถรบ และส่วนหนึ่งอยู่กับเขาในเยรูซาเล็ม |
๒๖. เขาได้ปกครองอยู่เหนือกษัตริย์อีกหลายๆองค์ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินของพวกฟีลิสเตีย จนถึงเขตแดนของประเทศอียิปต์ |
๒๗. กษัตริย์ได้ทำให้เงินมีมากอย่างกับก้อนหินในเมืองเยรูซาเล็ม และทำให้ไม้สนซีดาร์มีอย่างเกลื่อนกลาดเหมือนกับไม้มะเดื่อตามเชิงเขา |
๒๘. ม้าของซาโลมอนถูกนำมาจากประเทศอียิปต์และจากประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ |
๒๙. ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของซาโลมอนตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดลงได้รับการจดบันทึกไว้แล้วในบันทึกของนาธันผู้พูดแทนพระเจ้า ในคำเผยแพร่ของอาหิยาห์ชาวเมืองชิโลห์และในนิมิตของอิดโดผู้ที่เห็นนิมิต เกี่ยวกับเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท |
๓๐. ซาโลมอนได้ปกครองอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเหนือชนชาติอิสราเอลเป็นเวลาสี่สิบปี |
๒ พงศาวดาร ๑๐:๑-๑๙ |
๑. เรโหโบอัมไปที่เชเคมเพราะชาวอิสราเอลทั้งหมดไปที่นั่นเพื่อที่จะแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นกษัตริย์ |
๒. เมื่อเยโรโบอัมลูกชายของเนบัทได้ยินเรื่องนี้เข้า (ตอนนั้นเขาอยู่ในประเทศอียิปต์ซึ่งเป็นที่ที่เขาหลบหนีไปจากกษัตริย์ซาโลมอน) เขาจึงออกมาจากอียิปต์ กลับมาบ้านของเขา |
๓. คนอิสราเอลจึงไปหาเยโรโบอัม เยโรโบอัมพร้อมด้วยชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ไปหาเรโหโบอัมและพูดกับเขาว่า |
๔. “พ่อของท่านบังคับให้พวกเราต้องทำงานอย่างหนัก ตอนนี้ ช่วยทำให้งานที่หนักอึ้งและภาระอันหนักหน่วงที่พ่อท่านเคยวางไว้บนตัวพวกเรานั้นเบาลงด้วยเถิด แล้วพวกเราจะอยู่รับใช้ท่าน” |
๕. เรโหโบอัมตอบว่า “อีกสามวันค่อยกลับมาพบเราใหม่” ประชาชนจึงกลับออกไป |
๖. แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมก็ปรึกษากับพวกผู้อาวุโสที่เคยรับใช้ซาโลมอนพ่อของเขาในช่วงที่ซาโลมอนยังมีชีวิตอยู่ เขาถามว่า “พวกท่านจะแนะนำให้เราตอบประชาชนพวกนั้นยังไงดี” |
๗. พวกเขาตอบว่า “ถ้าท่านจะใจดีกับประชาชนเหล่านี้และเอาใจใส่พวกเขา และพูดดีๆกับพวกเขา พวกเขาก็จะอยู่รับใช้ท่านตลอดไป” |
๘. แต่เรโหโบอัมไม่ยอมฟังคำแนะนำที่พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นให้เขา เขากลับไปปรึกษากับพวกคนหนุ่มๆที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับเขา และทำงานให้กับเขาอยู่ |
๙. เขาถามคนหนุ่มพวกนั้นว่า “ประชาชนพวกนั้นพูดกับเราว่า ‘ช่วยทำให้แอกที่พ่อของท่านวางไว้บนพวกเราเบาขึ้นด้วยเถิด’ พวกเจ้ามีคำแนะนำว่ายังไง พวกเราจะตอบประชาชนพวกนั้นว่ายังไงดี” |
๑๐. คนหนุ่มๆเหล่านั้นผู้ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมๆกับเขาตอบว่า “บอกพวกประชาชนที่มาพูดกับท่านว่า ‘พ่อของท่านได้ทำให้แอกของพวกเราหนักเหลือเกิน ขอให้ท่านช่วยทำให้มันเบาขึ้นด้วยเถิด’ บอกพวกเขาไปว่า ‘นิ้วก้อยของเรายังหนากว่าเอวของพ่อเราเสียอีก |
๑๑. พ่อของเราได้ทำให้แอกของพวกเจ้าหนัก เราจะทำให้มันหนักยิ่งขึ้นไปอีก พ่อของเราเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้ เราจะเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้หางแมงป่อง’” |
๑๒. อีกสามวันต่อมา เยโรโบอัมและประชาชนทั้งหมดก็กลับมาหาเรโหโบอัมตามที่กษัตริย์ได้บอกกับพวกเขาไว้ที่ว่า “กลับมาหาเราใหม่ในอีกสามวันข้างหน้า” |
๑๓. กษัตริย์ตอบพวกเขาไปอย่างหยาบคาย เขาไม่ทำตามคำแนะนำของพวกผู้อาวุโส |
๑๔. กษัตริย์เรโหโบอัมไปทำตามคำแนะนำของพวกคนหนุ่มๆและพูดไปว่า “พ่อของเราทำให้แอกของพวกเจ้าหนัก เราจะทำให้มันหนักขึ้นไปอีก พ่อของเราเคยเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้ เราจะเฆี่ยนพวกเจ้าด้วยแส้หางแมงป่อง” |
๑๕. ดังนั้นกษัตริย์จึงไม่ยอมรับฟังประชาชนเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากพระเจ้า เพื่อพระยาห์เวห์จะทำให้คำพูดของพระองค์ที่ได้พูดไว้กับเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท ผ่านทางอาหิยาห์ชาวเมืองชิโลห์นั้นสำเร็จ |
๑๖. เมื่อคนอิสราเอลทั้งหมดเห็นว่ากษัตริย์ไม่ยอมฟังพวกเขา พวกเขาจึงตอบกษัตริย์ไปว่า “พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวดาวิดอย่างนั้นหรือ พวกเราได้ส่วนแบ่งจากที่ดินของเจสซีหรือ เปล่าเลย อิสราเอลเอ๋ย ให้แต่ละคนกลับไปยังเต็นท์ของพวกเรากันเถอะ ปล่อยให้ ลูกของดาวิด ดูแลคนของพวกเขาเอง” ดังนั้น พวกชาวอิสราเอลทั้งหมดจึงกลับไปยังเต็นท์ของตน |
๑๗. แต่ส่วนชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในเมืองทั้งหลายของยูดาห์ เรโหโบอัมยังคงเป็นคนปกครองพวกเขาอยู่ |
๑๘. กษัตริย์เรโหโบอัมส่งอาโดนีรัม ผู้ควบคุมคนงานที่ถูกเกณฑ์ไปพูดกับชาวอิสราเอล แต่ชาวอิสราเอลเอาหินขว้างเขาจนตาย ส่วนกษัตริย์เรโหโบอัมหนีขึ้นรถรบของเขาและขับหนีเข้าเมืองเยรูซาเล็มไป |
๑๙. ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงแข็งข้อต่อครอบครัวของดาวิดจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ |
สดุดี ๘๐:๗-๑๓ |
๗. ข้าแต่พระเจ้า ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ช่วยทำให้เรากลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมด้วยเถิด ช่วยส่องใบหน้าของพระองค์ลงมาบนพวกเราและช่วยกู้พวกเราด้วยเถิด |
๘. พระองค์นำพวกเราที่เป็นเถาองุ่นของพระองค์ออกจากอียิปต์ พระองค์ขับไล่ชาวต่างชาติออกไปและปลูกพวกเราที่เป็นต้นองุ่นของพระองค์แทน |
๙. พระองค์กำจัดหินและหญ้ารกให้ต้นองุ่นนั้นมีที่เติบโต แล้วต้นองุ่นนั้นก็หยั่งรากลึกและแผ่ขยายไปทั่วแผ่นดิน |
๑๐. เงาของมันปกคลุมไปทั่วเนินเขาต่างๆ ส่วนกิ่งก้านของมันปกคลุมต้นสนซีดาร์อันสูงใหญ่ |
๑๑. เถาองุ่นได้แตกกิ่งก้านแผ่ขยายออกไปทางทิศตะวันตกสู่ทะเล ทางทิศตะวันออกสู่แม่น้ำยูเฟรติส |
๑๒. แต่ตอนนี้ ทำไมพระองค์ถึงได้พังรั้วกำแพงที่ป้องกันสวนองุ่นลง และปล่อยให้คนที่เดินผ่านไปมาเด็ดลูกมัน |
๑๓. พวกหมูป่าก็พากันมาแทะกิน และแมลงจากท้องทุ่งพากันมากัดกิน |
สุภาษิต ๒๐:๑๖-๑๘ |
๑๖. หากเขามาค้ำประกันให้กับคนแปลกหน้า ให้ยึดเสื้อผ้าของเขาเป็นเครื่องมัดจำ หากเขาค้ำประกันให้กับคนต่างด้าว ก็ให้ยึดเครื่องประกันของเขาไว้ |
๑๗. ขนมปังที่ฉ้อโกงมา ก็รสหวาน แต่ในที่สุดปากจะเต็มไปด้วยกรวดทราย |
๑๘. แผนการสำเร็จได้เพราะคำปรึกษา ดังนั้น ให้ใช้กลยุทธ์ที่ฉลาดทำสงคราม |
กิจการของอัครทูต ๑๔:๑-๒๘ |
๑. ในเมืองอีโคนียูมก็เหมือนกัน เปาโลและบารนาบัสได้เข้าไปในที่ประชุมชาวยิว และ พูดป่าวประกาศ จนคนยิวและคนกรีกจำนวนมากเกิดความเชื่อ |
๒. แต่พวกยิวที่ไม่เชื่อได้ยุยงคนกรีกให้โกรธเคืองพวกพี่น้องของเราที่เชื่อ |
๓. เปาโลและบารนาบัสอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน และประกาศเรื่องขององค์เจ้าชีวิตอย่างกล้าหาญ และพระองค์ก็ให้เปาโลกับบารนาบัสทำสิ่งอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ต่างๆได้ เพื่อยืนยันให้คนรู้ว่าพระคำเรื่องความเมตตากรุณาของพระองค์ที่ทั้งสองคนพูดนั้นเป็นเรื่องจริง |
๔. คนในเมืองก็แตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเข้าข้างพวกยิว อีกฝ่ายหนึ่งเข้าข้างพวกศิษย์เอกของพระเยซู |
๕. คนกรีก คนยิว และพวกผู้นำของพวกเขา คบคิดกันที่จะเอาหินขว้างทำร้ายเปาโลกับบารนาบัส |
๖. แต่ทั้งสองคนล่วงรู้แผนการนี้เสียก่อน จึงหนีไปที่เมืองลิสตราและเมืองเดอร์บีในแคว้นลิคาโอเนียและดินแดนแถวๆนั้น |
๗. พวกเขาก็ยังคงประกาศข่าวดีที่นั่นต่อไป |
๘. ที่เมืองลิสตรา มีชายขาพิการคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาเป็นง่อยเดินไม่ได้มาตั้งแต่เกิด |
๙. ชายคนนี้ฟังเปาโลพูด เปาโลจ้องมาที่ชายคนนี้ และเห็นว่าเขามีความเชื่อที่จะทำให้เขาได้รับการรักษาให้หายได้ |
๑๐. เปาโลจึงพูดเสียงดังว่า “ลุกขึ้นยืน” แล้วชายเป็นง่อยก็กระโดดขึ้นและเริ่มเดิน |
๑๑. เมื่อฝูงชนเห็นสิ่งที่เปาโลทำ พวกเขาก็ส่งเสียงร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “พวกพระได้แปลงร่างเป็นมนุษย์ลงมาหาพวกเรา” |
๑๒. พวกเขาเรียกบารนาบัสว่า พระซุส และเรียกเปาโลว่า พระเฮอร์เมส เพราะเปาโลเป็นคนพูดก่อน |
๑๓. นักบวชของวัดพระซุส ที่ตั้งอยู่หน้าเมืองได้นำพวกวัวตัวผู้ที่สวมพวงมาลัยไปที่ประตูเมือง นักบวชและฝูงชนอยากที่จะถวายเครื่องบูชาให้กับเปาโลและบารนาบัส |
๑๔. แต่เมื่อบารนาบัสและเปาโลศิษย์เอกของพระเยซูได้ยินเรื่องนี้ ก็ฉีกเสื้อผ้าของตน แล้ววิ่งเข้าไปในฝูงชนพร้อมกับร้องตะโกนว่า |
๑๕. “พวกคุณทำอย่างนี้ทำไม เราก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆเหมือนกับพวกคุณ เรามาที่นี่เพื่อประกาศข่าวดีกับพวกคุณ เพื่อพวกคุณจะได้หันจากสิ่งที่ไม่มีค่าพวกนี้ไปหาพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ พระองค์เป็นผู้สร้างท้องฟ้า พื้นดิน ทะเลและทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้น |
๑๖. ในอดีตพระองค์ได้ปล่อยให้คนแต่ละชาติทำตามใจชอบ |
๑๗. ถึงแม้พระองค์จะปล่อยพวกคุณไว้ แต่พระองค์ก็ทำให้คุณรู้ว่าพระองค์มีอยู่จริง โดยดูได้จากสิ่งดีๆที่พระองค์ได้ทำให้กับพวกคุณ เช่น ให้ฝนตกจากท้องฟ้า และให้มีพืชผลตามฤดูกาล พระองค์ให้พวกคุณมีอาหารกินและทำให้ใจของคุณเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี” |
๑๘. ถึงแม้จะพูดให้ฟังอย่างนี้แล้ว เปาโลกับบารนาบัส ก็ยังเกือบจะห้ามพวกเขาไม่อยู่ ที่จะไม่ให้พวกเขาเอาเครื่องบูชามาถวายให้กับพวกเขาทั้งสองคน |
๑๙. แต่มีชาวยิวบางคนที่มาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอีโคนียูม ได้ชักชวนฝูงชนให้มาอยู่ฝ่ายพวกเขา และได้เอาหินขว้างเปาโล แล้วลากเปาโลออกไปนอกเมือง เพราะคิดว่าตายแล้ว |
๒๐. เมื่อพวกศิษย์ของพระเยซูมายืนล้อมเปาโล เปาโลก็ลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปในเมือง พอวันรุ่งขึ้นเปาโลกับบารนาบัสก็เดินทางไปที่เมืองเดอร์บี |
๒๑. เปาโลกับบารนาบัสได้ไปประกาศข่าวดีในเมืองเดอร์บี และมีคนเป็นจำนวนมากได้มาเป็นศิษย์ขององค์เจ้าชีวิต จากนั้นเขาทั้งสองได้เดินทางกลับไปเมืองลิสตรา เมืองอีโคนียูม และเมืองอันทิโอก |
๒๒. ไปให้กำลังใจกับพวกศิษย์ของพระเยซู และกระตุ้นให้ยืนหยัดในความเชื่อต่อไป เขาพูดว่า “เราจะต้องผ่านความทุกข์ยากมากมาย ก่อนที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า” |
๒๓. เปาโลและบารนาบัสแต่งตั้งผู้นำอาวุโสขึ้นในแต่ละหมู่ประชุมของพระเจ้า เขาทั้งสองอธิษฐานและถือศีลอดอาหาร และมอบผู้นำพวกนี้พร้อมกับหมู่ประชุมต่างๆไว้กับองค์เจ้าชีวิตที่พวกเขาไว้วางใจ |
๒๔. แล้วเปาโลและบารนาบัสได้เดินทางผ่านแคว้นปิสิเดียไปที่แคว้นปัมฟีเลีย |
๒๕. หลังจากที่ได้ประกาศพระคำในเมืองเปอร์กาแล้ว ก็เดินทางลงไปที่เมืองอัททาลิยา |
๒๖. จากที่นี่ พวกเขาได้นั่งเรือกลับไปที่เมืองอันทิโอก ซึ่งหมู่ประชุมของพระเจ้าที่นั่นเคยฝากพวกเขาไว้ให้พระเจ้าดูแลงานที่เพิ่งทำเสร็จไปนี้ |
๒๗. เมื่อเปาโลและบารนาบัสมาถึง ได้เรียกหมู่ประชุมของพระเจ้ามาประชุมกัน และเล่าทุกอย่างที่พระเจ้าทำร่วมกับพวกเขาให้ฟัง และที่พระเจ้าเปิดโอกาสให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวได้รับความเชื่อด้วย |
๒๘. แล้วเขาทั้งสองคนก็พักอยู่ที่นั่นกับพวกศิษย์ของพระเยซูเป็นเวลานาน |