๒ ซามูเอล ๒๓:๑-๓๘ |
๑. นี่คือคำพูดสุดท้ายของดาวิด “คำพูดนี้เป็นของดาวิดลูกชายเจสซี คำพูดนี้เป็นของชายที่พระเจ้ายกย่อง ชายผู้ที่พระเจ้าของยาโคบได้เจิมให้เป็นกษัตริย์ เป็นนักร้องคนโปรดของอิสราเอล |
๒. พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ พูดผ่านข้าพเจ้า คำพูดของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า |
๓. พระเจ้าของอิสราเอลพูดไว้ หินกำบังของอิสราเอลพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘คนที่ปกครองประชาชนอย่างเป็นธรรม คนที่ปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า |
๔. เป็นเหมือนแสงอรุณ เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นในเวลาเช้าที่ไม่มีเมฆ ที่สดใสหลังฝนตก ที่ทำให้ต้นหญ้างอกขึ้นจากดิน’ |
๕. ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ปกครองอย่างนั้น พระองค์ได้ทำสัญญากับข้าพเจ้าที่จะคงอยู่ตลอดไป และไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์จะทำให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จ และให้สิ่งที่ข้าพเจ้าหวังไว้ |
๖. แต่คนชั่วเป็นเหมือนหนามที่ต้องถูกขว้างทิ้งไปให้หมด หยิบมันด้วยมือไม่ได้ |
๗. ต้องใช้เครื่องมือที่เป็นเหล็กหรือด้ามหอก เขี่ยกองมันไว้และเผามันตรงนั้นเลย” |
๘. ต่อไปนี้เป็นชื่อนักรบผู้กล้าของดาวิด คือเยชบาอัลชาวฮัคโมนี เขาเป็นหัวหน้าของกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน เขาใช้หอกของเขา ฆ่าแปดร้อยในการรบครั้งเดียว |
๙. รองจากเขา คือเอเลอาซาร์ลูกชายโดโด จากตระกูลอาโหไฮ เป็นหนึ่งในสามผู้กล้า เขาอยู่กับดาวิดตอนที่พวกเขาได้ท้าทายชาวฟีลิสเตียที่รวมตัวกันอยู่ที่ปัสดัมมิม ให้ออกมาสู้รบ ทหารอิสราเอลต่างหลบหนีไปกันหมด |
๑๐. แต่เขากลับยืนหยัดอยู่กับที่และฆ่าชาวฟีลิสเตียจนมือของเขาเป็นเหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระยาห์เวห์ได้นำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาให้เขา กองทัพอิสราเอลได้หวนกลับมาหาเอเลอาซาร์ เพื่อปลดข้าวของจากคนที่ถูกฆ่าตายเท่านั้น |
๑๑. รองจากเขาคือชัมมาห์ลูกชายอาเกชาวฮาราร์ เมื่อชาวฟีลิสเตียรวมตัวกันในที่ที่เป็นทุ่งนาที่เต็มไปด้วยถั่วแขก กองทัพของอิสราเอลได้หลบหนีไป |
๑๒. แต่ชัมมาห์ยังคงยืนหยัดอยู่ที่กลางทุ่ง เขาต่อสู้และฆ่าชาวฟีลิสเตีย และพระยาห์เวห์ได้นำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาให้เขา |
๑๓. ครั้งหนึ่งในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว นักรบผู้กล้าทั้งสามคนนี้ จากกองทหารของดาวิดที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน ได้ลงมาหาดาวิด ที่ถ้ำอดุลลัม ขณะที่กองทัพฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม |
๑๔. ในเวลานั้นดาวิดอยู่ในที่กำบังแข็งแกร่ง และกองทหารชาวฟีลิสเตียตั้งป้อมอยู่ที่เบธเลเฮม |
๑๕. ดาวิดหิวน้ำและเปรยๆขึ้นว่า “ใครหนอจะเอาน้ำจากบ่อน้ำใกล้ประตูเมืองเบธเลเฮมมาให้เราดื่มได้” |
๑๖. นักรบผู้กล้าทั้งสามคนจึงได้ฝ่าแนวทหารชาวฟีลิสเตีย ไปตักน้ำจากบ่อน้ำใกล้ประตูเมืองเบธเลเฮมและนำกลับมาให้ดาวิด แต่ดาวิดไม่ยอมดื่ม เขากลับเทมันทิ้งต่อหน้าพระยาห์เวห์ แล้วดาวิดก็พูดว่า |
๑๗. “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดจะทำอย่างนี้เลย ข้าพเจ้าจะดื่มเข้าไปได้ยังไง นี่มันเป็นเหมือนเลือดของคนที่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อไปเอามันมา ไม่ใช่หรือ” แล้วดาวิดก็ไม่ยอมดื่มมัน สิ่งเหล่านี้คือการกระทำของนักรบผู้กล้าทั้งสามนั้น |
๑๘. อาบีชัยน้องชายโยอาบลูกนางเศรุยาห์เป็นหัวหน้าของกองทหารของดาวิดที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน เขาใช้หอกของเขาต่อสู้คนสามร้อยคนและฆ่าพวกนั้นจนหมด แต่เขาไม่ได้กลายเป็นคนหนึ่งในนักรบผู้กล้าสามคนนั้น |
๑๙. เขามีชื่อเสียงเท่ากับนักรบผู้กล้าสามคนนั้นไม่ใช่หรือ เขาได้กลายเป็นผู้นำของสามคนนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นหนึ่งในสามคนนั้นก็ตาม |
๒๐. เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาเป็นนักรบผู้กล้าจากเมืองขับเซเอล เขาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย เขาฆ่าคนใจสิงห์ สองคนของโมอับ วันหนึ่งเมื่อหิมะตก เขาได้ลงไปในหลุมและฆ่าสิงโตตายไปตัวหนึ่ง |
๒๑. และเขาได้ฆ่าทหารอียิปต์ตัวใหญ่คนหนึ่ง ทั้งๆที่ทหารอียิปต์นั้นถือหอกอยู่ในมือ เบไนยาห์ต่อสู้กับทหารนั้นด้วยไม้กระบองท่อนหนึ่ง เขาแย่งหอกจากมือของทหารอียิปต์นั้นมาได้ และฆ่าทหารนั้นด้วยหอกของเขาเอง |
๒๒. นั่นคือการกระทำที่กล้าหาญทั้งหลายของเบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดา แต่เขาไม่ได้กลายเป็นคนหนึ่งในนักรบผู้กล้าสามคนนั้น |
๒๓. เขามีเกียรติที่สุดในกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน แต่เขาไม่ได้กลายเป็นคนหนึ่งในผู้กล้าสามคนนั้น ดาวิดได้แต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าทหารประจำตัวพระองค์ |
๒๔. คนต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของนักรบผู้กล้าสามสิบคน คือ อาสาเฮลน้องชายโยอาบ เอลฮานันลูกชายโดโดจากเบธเลเฮม |
๒๕. ชัมมาห์ชาวฮาโรด เอลีคาชาวฮาโรด |
๒๖. เฮเลสชาวเปเลท อิราลูกชายอิกเขชชาวเมืองเทโคอา |
๒๗. อาบีเยเซอร์ชาวเมืองอานาโธท เมบุนนัย ชาวหุชาห์ |
๒๘. ศัลโมนชาวอาโหไฮ มาหะรัยชาวเนโทฟาห์ |
๒๙. เฮเลด ลูกชายบาอานาห์ชาวเนโทฟาห์ อิททัยลูกชายรีบัยจากกิเบอาห์ชาวเบนยามิน |
๓๐. เบไนยาห์ชาวปิราโธน ฮิดดัย จากลำธารกาอัช |
๓๑. อาบีอัลโบนชาวอารบา อัสมาเวทชาวบาฮูริม |
๓๒. เอลียาบาชาอัลโบน บรรดาลูกชายของยาเชน โยนาธาน |
๓๓. ลูกชาย ของชัมมาห์ชาวฮาราร์ อาหิอัมลูกชายชาราร์ชาวฮาราร์ |
๓๔. เอลีเฟเลทลูกชายอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัมลูกชายอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ |
๓๕. เฮสโรชาวคารเมล ปารัยชาวอาราบ |
๓๖. อิกาลลูกชายนาธันชาวเมืองโศบาห์ ลูกชายของฮากรี |
๓๗. เศเลกชาวอัมโมน นาหะรัยชาวเบเอโรท คนถืออาวุธให้โยอาบลูกชายนางเศรุยาห์ |
๓๘. อิราชาวอิทไรต์ กาเรบชาวอิทไรต์ |
๒ ซามูเอล ๒๔:๑-๒๕ |
๑. ความโกรธของพระยาห์เวห์ลุกขึ้นต่อต้านชาวอิสราเอลอีกครั้ง พระองค์ยุให้ดาวิดไปต่อต้านคนอิสราเอล พระยาห์เวห์บอกดาวิดว่า “ไปนับชาวอิสราเอลและยูดาห์” |
๒. กษัตริย์ดาวิดจึงพูดกับโยอาบและพวกแม่ทัพ ที่อยู่กับเขาว่า “ไปหาชาวอิสราเอลทุกเผ่าตั้งแต่ดานจนถึงเบเออร์เชบา และลงทะเบียนนักรบเหล่านั้นเพื่อเราจะได้รู้ว่าพวกเขามีจำนวนเท่าใด” |
๓. แต่โยอาบตอบกษัตริย์ว่า “ขอให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพิ่มจำนวนกองทัพขึ้นอีกหนึ่งร้อยเท่า และขอให้ดวงตาของกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าได้มองเห็นเรื่องนี้ แต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าต้องการนับพลอย่างนี้ไปทำไมกัน” |
๔. แต่อย่างไรก็ตาม คำพูดของกษัตริย์ก็มีอำนาจเหนือโยอาบและบรรดาแม่ทัพเหล่านั้น พวกเขาจึงออกไปเพื่อไปลงทะเบียนนักรบของอิสราเอล |
๕. หลังจากข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา พวกเขาตั้งค่ายอยู่ใกล้อาโรเออร์ในช่องแคบทางใต้ของเมือง จากนั้นก็ผ่านไปยังกาดและต่อไปที่ยาเซอร์ |
๖. พวกเขาไปที่กิเลอาดและแคว้นตะทิมโหดฉิ และได้ไปถึงดานยาอันและอ้อมไปยังไซดอน |
๗. แล้วพวกเขาตรงไปที่ป้อมของไทระและเมืองทั้งหมดของชาวฮีไวต์และชาวคานาอัน ในที่สุด พวกเขาก็ไปถึงเบเออร์เชบาในเนเกบของยูดาห์ |
๘. หลังจากที่พวกเขาไปทั่วแผ่นดินแล้ว พวกเขากลับเยรูซาเล็มโดยใช้เวลาทั้งหมดเก้าเดือนกับอีกยี่สิบวัน |
๙. โยอาบรายงานจำนวนนักรบให้กษัตริย์ ในอิสราเอลมีคนที่ร่างกายสมบูรณ์ที่สามารถถือดาบได้ทั้งหมดแปดแสนคน และในยูดาห์มีห้าแสนคน |
๑๐. ดาวิดรู้สึกสำนึกผิดขึ้นหลังจากที่เขาได้นับนักรบ และเขาพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวงในสิ่งที่ข้าพเจ้าทำไป ตอนนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าขอให้พระองค์เอาความผิดของข้าพเจ้าผู้รับใช้ไปด้วยเถิด ข้าพเจ้าได้ทำในสิ่งที่โง่เขลามาก” |
๑๑. ในวันรุ่งขึ้นตอนดาวิดตื่น พระยาห์เวห์ส่งคำพูดมาถึงกาดผู้พูดแทนพระเจ้าผู้ที่เห็นนิมิตของดาวิด ให้ไปพูดกับดาวิดว่า |
๑๒. “ไปบอกดาวิดว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ พูด เราจะให้ทางเลือกแก่เจ้าสามทาง เลือกมาหนึ่งทางที่เจ้าจะให้เราทำกับเจ้า’” |
๑๓. กาดจึงไปพบดาวิดและพูดกับเขาว่า “จะให้สิ่งใดเกิดขึ้นกับท่านบ้างในสามสิ่งนี้ คือ ความอดอยากหิวโหยสามปี บนแผ่นดินของท่าน หรือการหลบหนีจากศัตรูของท่านสามเดือนในขณะที่พวกเขาตามล่าท่าน หรือโรคระบาดบนแผ่นดินของท่านสามวัน ตอนนี้ คิดให้ดีและตัดสินใจว่า ข้าพเจ้าควรจะตอบผู้ที่ส่งข้าพเจ้ามาว่าอย่างไรดี” |
๑๔. ดาวิดพูดกับกาดว่า “เรากำลังทุกข์ทรมานอย่างหนัก ปล่อยให้พวกเราอยู่ในกำมือของพระยาห์เวห์เถิด เพราะความเมตตาของพระองค์ยิ่งใหญ่ แต่อย่าให้เราตกอยู่ในกำมือมนุษย์เลย” |
๑๕. พระยาห์เวห์จึงส่งโรคระบาดให้อิสราเอลตั้งแต่เช้าจนกระทั่งสิ้นสุดวันตามที่กำหนดไว้ และมีประชาชนตั้งแต่ดานจนถึงเบเออร์เชบา ล้มตายไปเจ็ดหมื่นคน |
๑๖. เมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือของตนออกเพื่อทำลายเยรูซาเล็ม พระยาห์เวห์เปลี่ยนใจเรื่องการทำลายนั้น และพูดกับทูตสวรรค์ผู้ที่กำลังทำให้ประชาชนเจ็บป่วยอยู่นั้นว่า “พอแล้ว เก็บมือท่านกลับคืนได้แล้ว” ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์จึงอยู่ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์ ชาวเยบุส |
๑๗. เมื่อดาวิดเห็นทูตสวรรค์ผู้ทำลายประชาชน เขาพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพเจ้าคือคนที่ทำบาปและทำผิดคนนั้น พวกนั้นเป็นเพียงแกะเท่านั้น พวกเขาได้ทำอะไรลงไปเล่า ขอให้มือพระองค์ตกลงมาที่ข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้าเถิด” |
๑๘. ในวันนั้น กาดไปหาดาวิดและพูดกับเขาว่า “ให้ขึ้นไปสร้างแท่นบูชาให้พระยาห์เวห์ ที่บนลานนวดข้าวของ อาราวนาห์ชาวเยบุสนั้น” |
๑๙. ดาวิดจึงขึ้นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งผ่านมาทางกาดถึงเขา |
๒๐. เมื่ออาราวนาห์มองเห็นกษัตริย์และคนของเขากำลังตรงมา เขาออกไปและก้มหน้ากราบลงถึงพื้นต่อหน้ากษัตริย์ |
๒๑. อาราวนาห์พูดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้ามาหาผู้รับใช้ของพระองค์ทำไมหรือ” ดาวิดตอบว่า “เพื่อที่จะซื้อลานนวดข้าวของเจ้า เราจะได้สร้างแท่นบูชาให้พระยาห์เวห์ โรคระบาดของประชาชนจะได้หายไป” |
๒๒. อาราวนาห์พูดกับดาวิดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าจะเอาอะไรก็ได้ตามที่พระองค์พอใจ และไปถวายเครื่องบูชาตามที่ท่านเห็นสมควร นี่คือพวกวัวตัวผู้เอาไว้ใช้เป็นเครื่องเผาบูชา และนี่คือเลื่อนนวดข้าวและแอก เอาไว้ใช้เป็นฟืน |
๒๓. ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพเจ้าขอยกของทั้งหมดนี้ให้กับกษัตริย์” อาราวนาห์พูดกับกษัตริย์ด้วยว่า “ขอให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน ยอมฟังคำอธิษฐานของท่านเถิด” |
๒๔. แต่กษัตริย์ตอบอาราวนาห์ว่า “ไม่ได้หรอก เรายืนกรานที่จะจ่ายเงินให้เจ้า เราจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาที่เราได้มาฟรีๆให้กับพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเรา” ดาวิดจึงซื้อลานนวดข้าว และซื้อพวกวัวตัวผู้ เป็นเงินมากกว่าครึ่งกิโลกรัม |
๒๕. ดาวิดสร้างแท่นบูชาให้พระยาห์เวห์ขึ้นที่นั่นและถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆเพื่อคืนดีกับพระเจ้า แล้วพระยาห์เวห์ก็ตอบรับคำอธิษฐานของเขาสำหรับคนในแผ่นดิน และโรคระบาดในอิสราเอลก็หยุดลง |
สดุดี ๖๘:๗-๑๐ |
๗. ข้าแต่พระเจ้า ในยามที่พระองค์นำพาประชาชนของพระองค์ออกจากอียิปต์ เมื่อพระองค์เดินลุยเข้าไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง เซลาห์ |
๘. โลกก็สั่นไหว ท้องฟ้าก็เทฝนลงมา ต่อหน้าพระเจ้าแห่งภูเขาซีนาย ต่อหน้าพระเจ้าแห่งอิสราเอล |
๙. พระองค์ทำให้ฝนตกลงมาอย่างเหลือเฟือบนแผ่นดินของพระองค์ พระองค์ฟื้นฟูดินแดนที่หมดสภาพขึ้นมาใหม่ |
๑๐. คนของพระองค์มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น ข้าแต่พระเจ้า พระองค์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับคนยากจนเหล่านั้น |
สุภาษิต ๑๗:๕-๖ |
๕. คนเยาะเย้ยคนจน ก็ดูถูกพระผู้สร้างของเขา คนที่ดีใจเมื่อเห็นคนอื่นโชคร้าย ย่อมหนีการลงโทษไปไม่พ้น |
๖. พวกหลานๆเป็นมงกุฎของคนแก่เฒ่า พ่อแม่เป็นความภาคภูมิใจของลูกๆ |
ยอห์น ๙:๑-๒๓ |
๑. เมื่อพระเยซูกำลังเดินอยู่นั้น ก็เห็นชายคนหนึ่งที่เกิดมาตาบอด |
๒. พวกศิษย์ของพระองค์ถามว่า “อาจารย์ ที่เขาเกิดมาตาบอดเพราะบาปกรรมของเขา หรือของพ่อแม่เขาครับ” |
๓. พระเยซูตอบว่า “ไม่ใช่บาปกรรมของเขาหรือของพ่อแม่เขาหรอก แต่ที่เขาตาบอดก็เพื่อทุกคนจะได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ที่พระเจ้าจะทำให้กับเขา |
๔. พวกเราต้องทำงานของพระองค์ผู้ที่ส่งเรามาในตอนกลางวัน เพราะกลางคืนกำลังมาและจะไม่มีใครทำงานได้ |
๕. ขณะที่เรายังอยู่ในโลกนี้ เราเป็นความสว่างของโลก” |
๖. เมื่อพระองค์พูดแล้ว ก็ถ่มน้ำลายผสมกับดินเคล้ากันเป็นโคลน แล้วเอามาทาที่ตาของชายตาบอด |
๗. พระองค์บอกเขาว่า “ไปล้างโคลนออกที่สระสิโลอัม” (คำว่าสิโลอัม หมายถึงส่งไป) ชายคนนั้นไปล้างโคลนออก เมื่อล้างแล้วกลับมา เขาก็สามารถมองเห็นได้ |
๘. ดังนั้นเพื่อนบ้านของชายตาบอดและคนอื่นๆที่เคยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อน ต่างก็พูดกันว่า “คนนี้เป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่ไม่ใช่หรือ” |
๙. บางคนก็บอกว่า “ใช่ เขานั่นแหละ” คนอื่นๆบอกว่า “ไม่ใช่เขาหรอก แต่เป็นคนอื่นที่มีหน้าตาคล้ายเขา” ชายคนนั้นบอกว่า “เป็นผมเองครับ” |
๑๐. พวกเขาถามว่า “แล้วมองเห็นได้ยังไง” |
๑๑. เขาตอบว่า “ชายที่ชื่อเยซู ได้ทำโคลนเอามาทาที่ตาของผม และเขาบอกว่า ‘ไปล้างโคลนออกที่สระสิโลอัม’ ผมก็ไปล้างโคลนออกที่สระนั้น และตาของผมก็มองเห็น” |
๑๒. คนเหล่านั้นถามว่า “แล้วชายคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ” เขาก็ตอบว่า “ผมไม่รู้” |
๑๓. คนเหล่านั้นพาชายที่เคยตาบอดนี้ ไปหาพวกฟาริสี |
๑๔. (วันที่พระเยซูทำโคลนรักษาชายตาบอดเป็นวันหยุดทางศาสนา) |
๑๕. พวกฟาริสีถามเขาว่า เขามองเห็นได้อย่างไร เขาก็ตอบว่า “เขาเอาโคลนมาทาที่ตาของผม แล้วผมก็ไปล้างโคลนออก และตอนนี้ผมก็มองเห็นแล้ว” |
๑๖. พวกฟาริสีบางคนก็พูดว่า “คนที่ทำอย่างนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าหรอก เพราะไม่ได้รักษากฎวันหยุดทางศาสนา” แต่คนอื่นๆพูดว่า “คนบาปจะทำสิ่งอัศจรรย์อย่างนี้ได้ยังไง” ดังนั้นพวกเขาก็เลยมีความเห็นขัดกันในเรื่องนี้ |
๑๗. พวกฟาริสีถามชายที่เคยตาบอดอีกว่า “แกคิดว่าคนที่ทำให้ตาแกหายบอดเป็นใคร” เขาตอบว่า “เขาเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า” |
๑๘. พวกผู้นำชาวยิวไม่เชื่อว่าเขาเคยตาบอด แล้วตอนนี้มองเห็นได้ พวกเขาจึงเรียกพ่อแม่ของชายคนนี้มาถาม |
๑๙. ว่า “เขาเป็นลูกที่พวกเจ้าบอกว่าเกิดมาตาบอดใช่ไหม แล้วทำไมเขาถึงมองเห็นแล้ว” |
๒๐. พ่อแม่ของเขาตอบว่า “เรารู้ว่าเขาเป็นลูกของเราและเกิดมาตาบอด |
๒๑. แต่เราไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงมองเห็นได้และใครรักษาเขา ไปถามเขาเอาเองสิ เพราะเขาก็โตแล้วและเล่าเรื่องให้คุณฟังได้แล้ว” |
๒๒. (ที่พ่อแม่ของเขาพูดอย่างนี้ เพราะกลัวพวกผู้นำชาวยิว พวกผู้นำชาวยิวได้ตกลงกันก่อนแล้วว่า ใครพูดว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็จะถูกไล่ออกจากที่ประชุมชาวยิว |
๒๓. นั่นเป็นเหตุที่พ่อแม่ของเขาพูดว่า “เขาโตแล้ว ไปถามเขาเอาเองเถิด”) |