๒ ซามูเอล ๒๑:๑-๒๒ |
๑. ในสมัยของกษัตริย์ดาวิด เกิดภาวะอดอยากแห้งแล้งขึ้นติดต่อกันสามปี ดังนั้น ดาวิดจึงไปถามพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ตอบว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะซาอูล และบ้านของเขาเปื้อนเลือด เพราะเขาเคยฆ่าชาวเมืองกิเบโอน” |
๒. กษัตริย์จึงเรียกชาวเมืองกิเบโอนมาหาและพูดกับพวกเขา (ชาวเมืองกิเบโอนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล แต่เป็นชาวอาโมไรต์ที่รอดชีวิต ชาวอิสราเอลเคยสาบานไว้ว่าจะไว้ชีวิตพวกเขา แต่ซาอูลที่กำลังคลั่งไคล้อิสราเอลและยูดาห์พยายามทำลายล้างพวกเขา) |
๓. ดาวิดถามชาวเมืองกิเบโอนว่า “จะให้เราทำอะไรเพื่อพวกท่านบ้าง เราจะแก้ไขอะไรได้บ้างเพื่อให้พวกท่านให้พรกับประชาชนที่เป็นทรัพย์สินของพระยาห์เวห์” |
๔. ชาวเมืองกิเบโอนตอบเขาว่า “พวกข้าพเจ้าไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินหรือทองจากซาอูลหรือครอบครัวเขา และไม่มีสิทธิที่จะฆ่าใครในอิสราเอลด้วย” ดาวิดจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกท่านต้องการให้เราทำอะไรให้พวกท่านล่ะ” |
๕. พวกเขาตอบกษัตริย์ว่า “เพราะคนผู้นั้นต้องการทำลายและกวาดล้างพวกเราให้หมดสิ้นไปเพื่อไม่ให้หลงเหลือพวกเราอยู่ในอิสราเอลอีกต่อไป |
๖. ขอให้มอบลูกหลานของเขาเจ็ดคน มาให้พวกเรา ให้พวกเราเสียบพวกเขาไว้ต่อหน้าพระยาห์เวห์ ที่บนเขากิเบอาห์ของซาอูล ผู้ที่พระยาห์เวห์เคยเลือกนั้น” กษัตริย์จึงพูดว่า “เราจะมอบพวกเขาให้พวกท่าน” |
๗. แต่กษัตริย์ได้ไว้ชีวิตของเมฟีโบเชท ลูกชายของโยนาธานที่เป็นลูกชายของซาอูล เนื่องจากกษัตริย์ดาวิดเคยสาบานไว้ต่อหน้าพระยาห์เวห์ระหว่างดาวิดกับโยนาธาน ลูกชายซาอูล |
๘. ดาวิดได้มอบ อารโมนีและเมฟีโบเชท ลูกชายสองคนของซาอูลที่เกิดจากนางริสปาห์ลูกสาวอัยยาห์ และลูกชายอีกห้าคนของนางเมราบ ลูกสาวซาอูล ที่เกิดกับอาดรีเอลลูกชายบารซิลลัยชาวเมโหลาห์ |
๙. ดาวิดมอบตัวคนเหล่านี้ให้ชาวเมืองกิเบโอน และชาวเมืองก็ได้เสียบพวกเขาทั้งเจ็ด และทิ้งประจานไว้บนเขากิเบอาห์ต่อหน้าพระยาห์เวห์ ทั้งเจ็ดคนตายพร้อมกัน พวกเขาถูกฆ่าตายในวันแรกของการเก็บเกี่ยว เป็นวันที่การเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์กำลังเริ่มต้นขึ้น |
๑๐. นางริสปาห์ลูกสาวอัยยาห์ เอาผ้ากระสอบมากางออกบนก้อนหิน สำหรับตนเอง ตั้งแต่เริ่มต้นการเก็บเกี่ยวจนกระทั่งฝนเทลงมา จากฟ้าลงบนศพเหล่านั้น นางเฝ้าดูศพเหล่านั้นทั้งวันทั้งคืน นางปกป้องศพพวกนั้นจากนกในตอนกลางวัน และสัตว์ป่าในตอนกลางคืน |
๑๑. เมื่อดาวิดรู้เรื่องที่นางริสปาห์ลูกสาวอัยยาห์เมียน้อย ซาอูลทำ |
๑๒. ดาวิดได้ไปเอากระดูกของซาอูลและโยนาธานลูกชายซาอูลมาจากชาวเมืองยาเบช-กิเลอาด (ชาวเมืองนี้ได้แอบไปขโมยศพของสองพ่อลูกนี้มาจากลานเมืองที่เบธชาน ซึ่งเป็นที่ที่ชาวฟีลิสเตียเสียบประจานพวกเขาไว้ ภายหลังจากที่พวกเขาฆ่าซาอูลได้ที่กิลโบอา) |
๑๓. ดาวิดนำกระดูกของซาอูลและโยนาธานลูกชายของซาอูลมาจากที่นั่น รวมทั้งกระดูกของเจ็ดคนที่ถูกเสียบถูกทิ้งประจานไว้ มารวมเข้าด้วยกัน |
๑๔. พวกเขาฝังกระดูกของซาอูลและโยนาธานลูกชายในหลุมฝังศพของคีชพ่อของซาอูลที่เศลาในเมืองของเบนยามิน และทำทุกอย่างที่กษัตริย์ได้สั่งไว้ หลังจากนั้น พระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานสำหรับแผ่นดินที่แห้งแล้งนั้น |
๑๕. อีกครั้งหนึ่ง เกิดการสู้รบขึ้นระหว่างชาวฟีลิสเตียกับอิสราเอล ดาวิดก็ได้ลงไปกับคนของเขาเพื่อสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย และดาวิดก็เริ่มเหนื่อยล้า |
๑๖. อิชบีเบโนบเชื้อสายคนหนึ่งของพวกยักษ์ เขาใช้หอกที่มีหัวทำจากทองสัมฤทธิ์หนักสามร้อยเชเขล และพกดาบใหม่มาด้วย เขาพูดว่าเขาจะฆ่าดาวิดเสีย |
๑๗. แต่อาบีชัยลูกชายนางเศรุยาห์ได้มาช่วยดาวิดไว้ และเขาก็ได้สู้รบกับชายฟีลิสเตียคนนั้นและฆ่าเขา บรรดาคนของดาวิดจึงได้สาบานกับดาวิดว่า “ท่านอย่าออกไปสู้รบกับพวกเราอีกเลย เพื่อว่าตะเกียงของอิสราเอลจะได้ไม่ดับลง” |
๑๘. หลังจากนั้นยังมีการสู้รบกับชาวฟีลิสเตียอีกที่เมืองโกบ และที่นั่นเอง สิบเบคัยชาวหุชาห์ได้ฆ่าสัฟ หนึ่งในพวกลูกหลานของพวกยักษ์ |
๑๙. หลังจากนั้นก็มีการสู้รบกับชาวฟีลิสเตียที่เมืองโกบอีก เอลฮานันลูกชายยาอาเร-โอเรกิม ชาวเบธเลเฮม ได้ฆ่าโกลิอัทชาวกัท ซึ่งใช้หอกด้ามใหญ่โตเหมือนไม้ฟั่นทอผ้า |
๒๐. มีการสู้รบกันอีกที่เมืองกัท มีชายร่างใหญ่ที่มีนิ้วมือและนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว รวมยี่สิบสี่นิ้ว เขาสืบเชื้อสายมาจากพวกยักษ์เหมือนกัน |
๒๑. เมื่อเขาพูดเหน็บแนมอิสราเอล โยนาธานลูกชายชิเมอีซึ่งเป็นพี่ชายของดาวิดก็ฆ่าเขาตาย |
๒๒. ทั้งสี่คนนี้สืบเชื้อสายมาจากพวกยักษ์ในเมืองกัท พวกเขาถูกดาวิดและคนของดาวิดฆ่าตาย |
๒ ซามูเอล ๒๒:๑-๕๑ |
๑. ดาวิดร้องเพลงบทนี้ให้กับพระยาห์เวห์ ในวันที่พระองค์ช่วยท่านให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรูทั้งหมด และจากเงื้อมมือของซาอูล |
๒. ดาวิดพูดว่า “พระยาห์เวห์คือหินกำบังของข้าพเจ้า คือป้อมปราการของข้าพเจ้า คือผู้ช่วยชีวิตของข้าพเจ้า |
๓. พระเจ้าของข้าพเจ้า คือหินกำบังที่ข้าพเจ้าเข้าไปลี้ภัย คือโล่กำบังของข้าพเจ้า คือฤทธิ์อำนาจ ที่ช่วยกู้ชีวิตข้าพเจ้า คือที่ซ่อนที่ปลอดภัยของข้าพเจ้า และเป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์เจ้าข้า พระองค์ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากคนป่าเถื่อน |
๔. ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ผู้ที่ควรค่าแก่การสรรเสริญ แล้วพระองค์ก็ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากพวกศัตรู |
๕. เพราะว่าพวกคลื่นแห่งความตายได้ล้อมข้าพเจ้าอยู่ และกระแสน้ำแห่งความตายกำลังจะทำให้ข้าพเจ้าจม |
๖. เชือกแห่งแดนคนตายพันอยู่รอบๆตัวข้าพเจ้า กับดักแห่งความตายอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า |
๗. เมื่อข้าพเจ้าตกอยู่ในความทุกข์ยาก ข้าพเจ้าร้องเรียกพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าเรียกพระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ได้ยินเสียงของข้าพเจ้าจากวังของพระองค์นั้น เสียงร้องของข้าพเจ้าได้ยินไปถึงหูของพระองค์ |
๘. แล้วแผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือน พวกเสาค้ำฟ้าสวรรค์ก็สั่นไหว เพราะพระเจ้าโกรธ |
๙. มีควันพุ่งออกจากจมูกของพระองค์ ไฟที่เผาผลาญพุ่งออกมาจากปากของพระองค์ ถ่านหินลุกแดงพุ่งออกมา |
๑๐. พระองค์แหวกท้องฟ้า และเสด็จลงมา พร้อมด้วยเมฆทึบสีดำใต้เท้าของพระองค์ |
๑๑. แล้วพระองค์ก็ขึ้นขี่ทูตสวรรค์ที่มีปีก แล้วเหาะลงมา เห็นพระองค์อยู่บนปีกของลม |
๑๒. พระองค์ทำความมืดรอบพระองค์เหมือนเต็นท์ เป็นเมฆหนาทึบ เป็นที่รวบรวมของน้ำ |
๑๓. รัศมีอันเจิดจ้าของพระองค์อยู่เบื้องหน้าพระองค์ และมีสายฟ้าพุ่งออกไป |
๑๔. พระยาห์เวห์ทำให้เกิดฟ้าร้อง พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดก็เปล่งเสียงดังไปทั่ว |
๑๕. พระเจ้ายิงธนูออกไป ซึ่งทำให้พวกศัตรูแตกกระเจิง พระองค์ทำสายฟ้าผ่าจนพวกนั้นแตกกระเจิง สับสนวุ่นวายไปทั่ว |
๑๖. เมื่อพระองค์ตะโกนคำสั่งของพระองค์ออกไป เมื่อลมที่พวยพุ่งออกมาจากจมูกของพระองค์ ทำให้น้ำทะเลก็ถอยร่นกลับไป ก้นทะเลและรากฐานของโลกก็ปรากฏขึ้น |
๑๗. พระองค์เอื้อมมือลงมาจากเบื้องบนมาฉวยข้าพเจ้าไว้ พระองค์ดึงข้าพเจ้าขึ้นมาจากกระแสน้ำเชี่ยวกรากนั้น |
๑๘. พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากศัตรูที่มีพลัง พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากพวกศัตรูที่แข็งแรงกว่าข้าพเจ้า |
๑๙. พวกเขาปะทะกับข้าพเจ้าตอนที่ข้าพเจ้าเจอกับภัยพิบัติ แต่พระยาห์เวห์ช่วยสนับสนุนค้ำจุนข้าพเจ้า |
๒๐. พระองค์นำข้าพเจ้าออกไปยังที่โล่งกว้าง พระองค์ช่วยชีวิตข้าพเจ้า เพราะพระองค์ชื่นชอบข้าพเจ้า |
๒๑. พระยาห์เวห์ให้รางวัลกับข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง พระองค์ตอบแทนข้าพเจ้าเพราะมือของข้าพเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ |
๒๒. ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังอย่างที่พระยาห์เวห์ต้องการให้ข้าพเจ้าเป็น ข้าพเจ้าไม่ได้หันเหไปจากพระเจ้าของข้าพเจ้าเพื่อจะได้ไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย |
๒๓. เพราะข้าพเจ้าคิดถึงกฏเกณฑ์และข้อบังคับต่างๆของพระองค์อยู่เสมอ ข้าพเจ้าไม่ได้หันเหไปจากพวกกฎของพระองค์ |
๒๔. ข้าพเจ้าไม่มีที่ติต่อหน้าพระองค์ และข้าพเจ้าได้รักษาตัวเองให้พ้นจากบาป |
๒๕. พระยาห์เวห์ได้ตอบแทนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะพระองค์ได้เห็นว่าข้าพเจ้านั้นสะอาดบริสุทธิ์ |
๒๖. พระองค์จะจงรักภักดีกับคนที่จงรักภักดีกับพระองค์ และพระองค์จะไร้ที่ติกับคนที่ไร้ที่ติ |
๒๗. พระองค์จะบริสุทธิ์กับคนที่บริสุทธิ์กับพระองค์ แต่กับคนที่เหลี่ยมจัด พระองค์จะรู้ทัน และลงโทษเขาอย่างที่เขาคาดไม่ถึง |
๒๘. พระองค์ช่วยกู้คนต่ำต้อย แต่พระองค์มองคนหยิ่งยโสเพื่อทำให้เขาตกต่ำลง |
๒๙. ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์เป็นตะเกียงของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่ในความมืด พระองค์นำความสว่างมาให้ |
๓๐. พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถลุยเข้าไปสู้กับกองทัพได้ พระเจ้าของข้าพเจ้า ช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถกระโดดข้ามกำแพงของศัตรูไปได้ |
๓๑. ทางของพระเจ้าไม่มีที่ติ สัญญาของพระยาห์เวห์นั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเชื่อถือได้ พระองค์เป็นโล่ให้กับทุกคนที่ลี้ภัยในพระองค์ |
๓๒. ใครเป็นพระเจ้า นอกจากพระยาห์เวห์ ใครเป็นหินกำบัง นอกจากพระเจ้าของพวกเรา |
๓๓. พระเจ้าองค์นี้เป็นที่ลี้ภัยอันเข้มแข็งของข้าพเจ้า พระองค์ทำให้ทางของข้าพเจ้าไม่มีอุปสรรคขัดขวาง |
๓๔. พระองค์ช่วยให้เท้าข้าพเจ้ามั่นคงเหมือนเท้ากวาง พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าสามารถยืนหยัดมั่นคงได้แม้บนที่สูง |
๓๕. พระองค์ฝึกมือของข้าพเจ้าสำหรับสงคราม พระองค์ใส่พลังเข้าไปในแขนของข้าพเจ้า เพื่อจะง้างคันธนูที่แข็งแกร่งที่สุดได้ |
๓๖. พระองค์ได้มอบโล่ของพระองค์ที่ช่วยปกป้องข้าพเจ้า ความช่วยเหลือของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามีชัยชนะ |
๓๗. พระองค์ทำให้ทางของข้าพเจ้ากว้างขวาง เท้าของข้าพเจ้าจึงไม่พลาดล้ม |
๓๘. ข้าพเจ้าได้ไล่ตามจับศัตรูและทำลายพวกเขา และไม่ได้หันกลับจนได้ทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น |
๓๙. ข้าพเจ้าได้ทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น ข้าพเจ้าได้บดขยี้พวกเขา จนพวกเขาลุกขึ้นมาไม่ได้อีก พวกเขาล้มลงอยู่แทบเท้าของข้าพเจ้า |
๔๐. พระองค์ได้ทำให้ข้าพเจ้าแข็งแกร่งพร้อมออกรบ พระองค์ทำให้คนเหล่านั้นที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับข้าพเจ้าต้องยอมหมอบลงต่อข้าพเจ้า |
๔๑. พระองค์ทำให้ศัตรูของข้าพเจ้าหันหลังหนีไป ข้าพเจ้าก็โค่นคนพวกนั้นที่เกลียดชังข้าพเจ้าลง |
๔๒. พวกเขามองหาแต่ไม่มีใครช่วยให้รอด พวกเขาร้องต่อพระยาห์เวห์แต่พระองค์ไม่ตอบพวกเขา |
๔๓. ข้าพเจ้าทุบตีพวกเขาแหลกละเอียดเหมือนฝุ่นของแผ่นดินโลก ข้าพเจ้าบดขยี้พวกเขาและเหยียบย่ำพวกเขาเหมือนโคลนตามท้องถนน |
๔๔. พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากกองทัพศัตรูที่เข้ามาโจมตี พระองค์ยังคงให้ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าของชนชาติต่างๆเหล่านั้น แม้แต่คนที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก ก็รับใช้ข้าพเจ้า |
๔๕. พวกคนต่างชาติมาหมอบอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า ทันทีที่พวกเขาได้ยินเรื่องของข้าพเจ้า พวกเขาต่างยอมสยบต่อข้าพเจ้า |
๔๖. คนต่างชาติพวกนั้นขวัญหนีดีฝ่อ พากันออกมาจากที่ซ่อน ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว |
๔๗. ใช่แล้ว พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่ ให้สรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นหินกำบังของข้าพเจ้า ให้ยกย่องพระเจ้าของข้าพเจ้า ผู้เป็นหินกำบังที่ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้น |
๔๘. พระองค์ เป็นพระเจ้าผู้ลงโทษศัตรูของข้าพเจ้า และนำให้ชนชาติต่างๆลงมาอยู่ใต้ข้าพเจ้า |
๔๙. พระองค์นำข้าพเจ้าออกมาจากพวกศัตรูของข้าพเจ้า พระองค์ยกข้าพเจ้าขึ้นเหนือคนเหล่านั้นที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับข้าพเจ้า พระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดจากศัตรูที่โหดร้าย |
๕๐. ดังนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญชื่อของพระองค์ |
๕๑. พระองค์ให้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่กับกษัตริย์ของพระองค์ พระองค์ให้ความรักอันมั่นคงกับกษัตริย์ที่พระองค์ได้เลือกไว้ ซึ่งก็คือดาวิดและลูกหลานของเขาตลอดไป” |
สดุดี ๖๘:๑-๖ |
๑. ถึงหัวหน้านักร้อง บทเพลงสดุดีของดาวิด ข้าแต่พระเจ้า ลุกขึ้นเถิด และทำให้ศัตรูของพระองค์กระจัดกระจายไป ขอให้คนที่เกลียดชังพระองค์วิ่งหนีไปจากพระองค์ |
๒. ไล่พวกเขาไป เหมือนลมไล่ควัน ขอให้คนชั่วพินาศไปต่อหน้าพระเจ้า เหมือนกับขี้ผึ้งหลอมละลายต่อหน้าไฟ |
๓. ขอให้คนดีมีความสุขและชื่นชมยินดีต่อหน้าพระเจ้า ขอให้พวกเขาเฉลิมฉลองอย่างมีความสุข |
๔. ร้องเพลงแด่พระเจ้า และสรรเสริญชื่อของพระองค์ด้วยบทเพลง สรรเสริญพระองค์ผู้ที่ขี่อยู่บนหมู่เมฆ ให้ชื่นชมยินดีต่อหน้าพระองค์ผู้มีชื่อว่า “ยาห์เวห์” |
๕. พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในที่พักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พระองค์เป็นพ่อของเด็กกำพร้าและเป็นผู้ปกป้องบรรดาหญิงหม้าย |
๖. พระองค์จัดให้ผู้โดดเดี่ยวเดียวดายเข้าไปอยู่ในครอบครัว พระองค์ให้เสรีภาพกับนักโทษและทำให้พวกเขาเจริญรุ่งเรือง แต่คนที่กบฏต่อพระองค์นั้นจะต้องอาศัยอยู่ในถิ่นที่แผดเผาแห้งแล้ง |
สุภาษิต ๑๗:๒-๔ |
๒. ทาสที่รู้จักคิดจะปกครองอยู่เหนือลูกของเจ้านายที่ทำตัวไร้ค่า เขาจะได้รับส่วนแบ่งในมรดกร่วมกับลูกของเจ้านาย |
๓. เบ้าหลอมมีไว้สำหรับทดสอบเงิน เตาหลอมมีไว้สำหรับทดสอบทองคำ แต่ผู้ทดสอบจิตใจคือพระยาห์เวห์ |
๔. คนที่สนใจฟังคำพูดชั่วร้ายก็เป็นคนชั่วเหมือนกัน คนที่ฟังคำพูดใส่ร้ายก็เลวพอๆกับคนโกหก |
ยอห์น ๘:๒๘-๕๙ |
๒๘. ดังนั้นพระเยซูจึงพูดว่า “เมื่อพวกคุณยกบุตรมนุษย์ขึ้น คุณก็จะได้รู้ว่าเราเป็นคนๆนั้นที่เราบอกว่าเราเป็น เราไม่ได้ทำอะไรตามใจของตัวเอง แต่เราพูดเฉพาะสิ่งเหล่านั้นที่พระบิดาได้สอนเรามา |
๒๙. พระองค์ผู้ส่งเรามาก็อยู่กับเรา พระองค์ไม่เคยทิ้งเราไว้ให้อยู่คนเดียว เพราะเราทำตามใจพระองค์เสมอ” |
๓๐. เมื่อพระเยซูพูดอย่างนี้ก็มีหลายคนไว้วางใจพระองค์ |
๓๑. ดังนั้นพระเยซูจึงพูดกับชาวยิวที่ไว้วางใจในพระองค์ว่า “ถ้าพวกคุณยังคงทำตามคำสั่งสอนของเรา พวกคุณก็เป็นศิษย์ของเราจริงๆ |
๓๒. พวกคุณจะรู้จักความจริงและความจริงจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระ” |
๓๓. พวกเขาตอบว่า “พวกเราเป็นลูกหลานของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสใคร ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า ‘พวกคุณจะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ’” |
๓๔. พระเยซูตอบว่า “เราจะบอกให้รู้นะว่าจริงๆแล้วคนที่ยังทำบาปอยู่ก็เป็นทาสของความบาป |
๓๕. ทาสไม่ใช่คนในครอบครัว แต่ลูกเป็นคนในครอบครัวตลอดไป |
๓๖. ดังนั้นถ้าพระบุตรปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระ คุณก็จะเป็นอิสระจริงๆ |
๓๗. เราก็รู้อยู่แล้วว่าพวกคุณเป็นลูกหลานของอับราฮัม แต่พวกคุณพยายามจะฆ่าเรา เพราะว่าคุณไม่ทำตามคำสั่งสอนของเรา |
๓๘. เราได้บอกคุณถึงสิ่งที่เราได้เห็นจากพระบิดาของเรา แต่พวกคุณกลับไปทำตามสิ่งที่คุณได้ยินจากพ่อของคุณเอง” |
๓๙. พวกเขาพูดว่า “อับราฮัมเป็นพ่อของพวกเรานะ” พระเยซูจึงพูดว่า “ถ้าพวกคุณเป็นลูกหลานของอับราฮัมจริง คุณจะต้องทำตามที่อับราฮัมทำ |
๔๐. เราได้เอาความจริงที่ได้ยินจากพระเจ้ามาบอกพวกคุณ แต่คุณกลับจะฆ่าเรา อับราฮัมไม่เคยทำอย่างนี้เลย |
๔๑. แต่คุณทำตามที่พ่อของคุณทำ” พวกยิวจึงพูดกับพระเยซูว่า “พวกเราไม่ได้เป็นลูกชู้ พระเจ้าเท่านั้นคือพ่อที่แท้จริงของเรา” |
๔๒. พระเยซูพูดว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพ่อของพวกคุณจริงๆพวกคุณก็คงรักเราแล้ว เพราะเรามาจากพระเจ้า ที่เราอยู่ที่นี่ก็เพราะพระเจ้าส่งมา เราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเอง |
๔๓. ที่พวกคุณไม่เข้าใจเรื่องที่เราพูดก็เพราะคุณทนฟังไม่ได้ |
๔๔. พวกคุณมาจากพ่อของคุณที่เป็นมารร้าย และพวกคุณก็อยากจะทำตามใจพ่อของคุณ มันเป็นนักฆ่าคนมาตั้งแต่แรกแล้ว และมันก็ไม่เคยอยู่ฝ่ายความจริงเลย เพราะมันไม่มีความจริงในตัวเอง มันพูดโกหกตามสันดานของมัน เพราะมันเป็นนักโกหก และเป็นพ่อของการโกหก |
๔๕. เมื่อเราพูดความจริง พวกคุณก็เลยไม่เชื่อเรา |
๔๖. มีใครบ้างในพวกคุณที่พิสูจน์ได้ว่าเราทำบาป แล้วทำไมถึงไม่ยอมเชื่อเราเมื่อเราพูดความจริง |
๔๗. คนของพระเจ้าจะฟังคำพูดของพระเจ้า แต่ที่พวกคุณไม่ยอมฟังเรา ก็เพราะคุณไม่ได้เป็นคนของพระเจ้า” |
๔๘. พวกยิวได้ถามพระองค์ว่า “พวกเราพูดผิดตรงไหนที่ว่าแกเป็นชาวสะมาเรีย และมีผีสิง” |
๔๙. พระเยซูตอบว่า “เราไม่ได้ถูกผีสิง เราได้ให้เกียรติพระบิดาของเราแต่พวกคุณกลับลบหลู่เรา |
๕๐. เราไม่ได้อยากเด่นอยากดัง แต่พระเจ้าต้องการให้เรายิ่งใหญ่และพระองค์เป็นผู้ตัดสิน |
๕๑. เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าใครทำตามคำสั่งสอนของเรา คนๆนั้นจะไม่มีวันตาย” |
๕๒. พวกยิวพูดกับพระองค์ว่า “ตอนนี้เรารู้แล้วว่าแกถูกผีสิงแน่ เพราะทั้งอับราฮัมและพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ก็ตายกันหมดแล้ว แต่แกกลับพูดว่า ‘ถ้าใครทำตามคำสั่งสอนของเรา คนๆนั้นจะไม่มีวันตาย’ |
๕๓. แกยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัม พ่อของเราหรือไง อับราฮัมตาย พวกผู้พูดแทนพระเจ้าก็ตาย แล้วแกคิดว่าแกเป็นใคร” |
๕๔. พระเยซูตอบว่า “ถ้าเรายกย่องตัวเอง คำยกย่องนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร พระบิดาของเรา ที่พวกคุณอ้างว่าเป็นพระเจ้าของพวกคุณนั่นแหละ เป็นผู้ที่ยกย่องเรา |
๕๕. จริงๆแล้วพวกคุณไม่รู้จักพระองค์หรอก แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็จะเป็นคนโกหกเหมือนกับพวกคุณ เรารู้จักพระองค์และทำตามที่พระองค์บอก |
๕๖. อับราฮัมบรรพบุรุษของคุณดีใจที่จะได้เห็นวันที่เรามา เขาได้เห็นแล้วและก็ดีใจแล้วด้วย” |
๕๗. พวกยิวพูดว่า “แกอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี จะเคยเห็นอับราฮัมได้ยังไง” |
๕๘. พระเยซูตอบว่า “ความจริงแล้วเราเป็นอยู่ ก่อนที่อับราฮัมจะเกิดเสียอีก” |
๕๙. คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้าง พระเยซู แต่พระองค์ได้หลีกหนีออกไปจากวิหาร |