๒ ซามูเอล ๑๙:๑-๔๓ |
๑. มีคนบอกโยอาบว่า “กษัตริย์กำลังร้องไห้และคร่ำครวญถึงอับซาโลม” |
๒. ดังนั้น ในวันนั้นแทนที่กองทัพจะเฉลิมฉลองชัยชนะ กลับกลายเป็นวันเศร้าโศก เพราะในวันนั้นทั้งกองทัพได้ยินว่า “กษัตริย์เสียใจเรื่องลูกชายของเขา” |
๓. คนเหล่านั้นเดินเข้าเมืองอย่างเงียบๆเหมือนคนที่แอบเข้าเมืองด้วยความละอายเมื่อหลบหนีจากสนามรบ |
๔. กษัตริย์ปิดหน้าของเขาและร้องไห้ออกมาดังๆว่า “อับซาโลม ลูกพ่อ อับซาโลม ลูกพ่อ ลูกของพ่อ” |
๕. โยอาบจึงเข้าไปในวังของกษัตริย์และพูดว่า “วันนี้ ท่านได้ทำให้คนของท่านทั้งหมดอับอาย พวกเขาคือคนที่ได้ช่วยชีวิตท่าน และลูกชายกับลูกสาวอีกหลายๆคนของท่านไว้ รวมทั้งชีวิตของพวกเมียท่านและเมียน้อย ทั้งหลายของท่านด้วย |
๖. ท่านรักคนเหล่านั้นที่เกลียดท่านและเกลียดคนที่รักท่าน ในวันนี้ท่านทำให้เห็นชัดเจนว่า ผู้นำทัพทั้งหลายของท่านและคนของเขาไม่มีความหมายกับท่านเลย ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า ท่านคงจะพอใจถ้าอับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้และพวกข้าพเจ้าตายหมด |
๗. ตอนนี้ ขอท่านออกไปและไปให้กำลังใจกับคนของท่าน ข้าพเจ้าสาบานต่อพระยาห์เวห์ว่า ถ้าท่านไม่ออกไป จะไม่มีใครเหลืออยู่กับท่านอีกภายในคืนนี้ และมันจะเลวร้ายยิ่งกว่าความหายนะใดๆก็ตามที่ท่านเคยพบมาตั้งแต่เด็กจนถึงขณะนี้” |
๘. ดังนั้นกษัตริย์จึงลุกขึ้นและไปนั่งที่ประตูเมือง เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินว่า “กษัตริย์นั่งอยู่บนประตูเมือง แล้ว” พวกเขาก็ออกมาอยู่ต่อหน้าเขา |
๙. ขณะนั้นชาวอิสราเอลต่างหลบหนีกลับบ้านของพวกเขา ประชาชนอิสราเอลทั่วทุกเผ่าต่างถกเถียงกันว่า “กษัตริย์ได้ช่วยเหลือพวกเราให้พ้นจากมือของพวกศัตรู เขาคือผู้ที่ช่วยพวกเราให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตีย แต่ตอนนี้เขาได้หลบหนีจากประเทศไปเพราะอับซาโลม |
๑๐. และอับซาโลมที่พวกเราได้แต่งตั้งให้ปกครองพวกเราได้ตายแล้วในสนามรบ แล้วทำไมพวกเราไม่พูดถึงการเชิญกษัตริย์กลับมาเล่า” |
๑๑. กษัตริย์ดาวิดส่งข้อความไปให้ศาโดกและอาบียาธาร์นักบวชทั้งสองว่า “ให้ไปถามพวกผู้ใหญ่ชาวยูดาห์ว่า ‘ทำไมท่านถึงเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญกษัตริย์กลับวังของเขา ในเมื่อทั่วทั้งอิสราเอลก็ได้พูดกันถึงเรื่องนี้ และมันก็มาถึงหูของเราผู้เป็นกษัตริย์แล้ว |
๑๒. พวกท่านเป็นพี่น้องของเรา เป็นเลือดเนื้อของเรา แล้วทำไมท่านจึงเป็นพวกสุดท้ายที่จะนำเราผู้เป็นกษัตริย์กลับมายังวังของเรา’ |
๑๓. และให้บอกอามาสาด้วยว่า ‘ท่านไม่ใช่เลือดเนื้อของเราหรือ ขอให้พระเจ้าลงโทษเราอย่างรุนแรงที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าจากนี้ไปท่านไม่ได้เป็นแม่ทัพของกองทัพเราแทนโยอาบ’” |
๑๔. ดาวิดชนะใจชาวยูดาห์ทั้งหมดราวกับว่าพวกเขาเป็นคนๆเดียว พวกเขาส่งข้อความถึงกษัตริย์ว่า “กลับมาเถิด ทั้งตัวท่านและคนของท่านทั้งหมดด้วย” |
๑๕. แล้วกษัตริย์ก็ได้กลับมาและไปถึงแม่น้ำจอร์แดน ขณะนั้นคนยูดาห์ได้มาที่กิลกาลเพื่อออกไปรับเสด็จกษัตริย์และนำเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา |
๑๖. ชิเมอีลูกชายเกราชาวเบนยามินที่มาจากเมืองบาฮูริม รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด |
๑๗. เขามาพร้อมกับชาวเผ่าเบนยามินหนึ่งพันคน และกับศิบาคนรับใช้ครอบครัวซาอูล ศิบามาพร้อมกับลูกชายสิบห้าคนและคนรับใช้ยี่สิบคนของเขา พวกเขารีบไปที่แม่น้ำจอร์แดนที่กษัตริย์อยู่ |
๑๘. พวกเขาข้ามที่ทางข้ามเพื่อไปรับครอบครัวกษัตริย์ข้ามมา และเพื่อทำตามสิ่งที่กษัตริย์ต้องการ เมื่อชิเมอีลูกชายเกราข้ามจอร์แดนไป เขาหมอบคำนับอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ |
๑๙. และพูดกับกษัตริย์ว่า “ขอให้เจ้านายข้าพเจ้าอย่าเอาผิดกับข้าพเจ้าเลย อย่าได้จดจำสิ่งที่ผิดๆที่คนรับใช้ของท่านได้ทำไป ในวันที่ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าออกจากเยรูซาเล็ม ขอให้กษัตริย์เอามันออกไปจากความคิดด้วยเถิด |
๒๐. เพราะข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าได้ทำบาปไป แต่วันนี้ข้าพเจ้ามาที่นี่เป็นคนแรกในบรรดาครอบครัวโยเซฟ ทั้งหมดเพื่อลงมาพบกับท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า” |
๒๑. แล้วอาบีชัยลูกชายนางเศรุยาห์ก็พูดว่า “ชิเมอีสมควรตายเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ เขาได้สาปแช่งผู้ที่พระยาห์เวห์ได้เจิมให้เป็นกษัตริย์” |
๒๒. ดาวิดตอบว่า “พวกลูกชายนางเศรุยาห์ พวกเจ้ามายุ่งเรื่องของเราทำไม วันนี้เจ้าทำตัวเหมือนศัตรูของเรา วันนี้จะไม่มีใครต้องตายในอิสราเอล คิดว่าเราไม่รู้หรือว่าวันนี้เราได้เป็นกษัตริย์ปกครองเหนืออิสราเอลแล้ว” |
๒๓. ดังนั้นกษัตริย์พูดกับชิเมอีว่า “เจ้าจะไม่ต้องตาย” แล้วกษัตริย์ก็สาบานกับเขา |
๒๔. เมฟีโบเชทหลาน ซาอูลลงไปรับเสด็จกษัตริย์ด้วยเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูแลเท้าของเขาหรือแต่งหนวดเคราหรือซักเสื้อผ้าเขาเลยตั้งแต่วันที่กษัตริย์จากไปจนกระทั่งวันที่เขากลับมาอย่างปลอดภัย |
๒๕. เมื่อเขามาจากเยรูซาเล็มเพื่อมารับเสด็จกษัตริย์ กษัตริย์ถามเขาว่า “เมฟีโบเชท ทำไมเจ้าถึงไม่ไปกับเรา” |
๒๖. เขาพูดว่า “กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านเป็นง่อย ข้าพเจ้าก็เลยพูดว่า ‘ใส่อานให้กับลาของเราหน่อย เราจะได้ขี่ตามกษัตริย์ไป’ แต่ศิบาคนรับใช้ข้าพเจ้า ทรยศข้าพเจ้า |
๒๗. และเขาก็ใส่ร้ายข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า กษัตริย์ของข้าพเจ้าเป็นเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า ดังนั้นขอท่านทำในสิ่งที่ท่านเห็นควรเถิด |
๒๘. อันที่จริง ลูกหลานทุกคนของปู่ ข้าพเจ้าไม่สมควรได้รับสิ่งใดเลยนอกจากความตายจากท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า แต่ท่านได้ให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านนั่งร่วมกับคนเหล่านั้นที่นั่งร่วมโต๊ะกับท่าน ดังนั้น ข้าพเจ้ายังมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากกษัตริย์อีกเล่า” |
๒๙. กษัตริย์พูดกับเขาว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เราขอสั่งให้เจ้าและศิบาแบ่งที่นากัน” |
๓๐. เมฟีโบเชทพูดกับกษัตริย์ว่า “ให้เขาไปทุกอย่างเถิด เพราะตอนนี้ท่านกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว” |
๓๑. บารซิลลัยชาวกิเลอาดลงมาจากโรเกลิมด้วย เพื่อที่จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์และเพื่อส่งเขาให้เดินทางไปจากที่นั่น |
๓๒. ขณะนั้น บารซิลลัยแก่มากแล้ว มีอายุแปดสิบปี เขาเป็นผู้นำเสบียงอาหารมาให้กับกษัตริย์ระหว่างที่พักอยู่ที่เมืองมาหะนาอิม เพราะเขาร่ำรวยมาก |
๓๓. กษัตริย์ดาวิดพูดกับบารซิลลัยว่า “ข้ามไปกับเราและอยู่กับเราในเยรูซาเล็มเถิด แล้วเราจะคอยดูแลท่าน” |
๓๔. แต่บารซิลลัยตอบกษัตริย์ดาวิดว่า “ข้าพเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกสักกี่ปีกัน ที่ข้าพเจ้าจะไปอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มกับกษัตริย์ |
๓๕. ตอนนี้ข้าพเจ้าก็มีอายุตั้งแปดสิบปีแล้ว ข้าพเจ้าแก่เกินกว่าที่จะสนุกสนานกับอะไรต่ออะไรแล้ว ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านยังสามารถลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มได้อีกหรือ ข้าพเจ้ายังจะฟังเสียงของนักร้องชายและหญิงได้อีกหรือ ทำไมจะต้องให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ท่านเป็นภาระเพิ่มให้กับกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าด้วยเล่า |
๓๖. ผู้รับใช้ท่านจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์ไปแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ทำไมกษัตริย์ต้องตอบแทนข้าพเจ้าด้วยรางวัลขนาดนี้ |
๓๗. ปล่อยผู้รับใช้ท่านกลับไปเถิด ข้าพเจ้าจะได้ตายอยู่ในเมืองของข้าพเจ้าเองใกล้หลุมฝังศพพ่อและแม่ข้าพเจ้า แต่คนผู้นี้คือคิมฮามผู้รับใช้ท่าน ให้เขาข้ามไปกับกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าเถิด ทำกับเขาตามที่ท่านเห็นสมควรเถิด” |
๓๘. กษัตริย์พูดว่า “คิมฮามจะข้ามไปกับเรา เราจะดีกับเขาอย่างที่ท่านขอไว้ ท่านขออะไร เราก็จะทำให้” |
๓๙. กษัตริย์จูบบารซิลลัยและให้พรกับเขา และบารซิลลัยก็กลับบ้านเขา หลังจากนั้น กษัตริย์และประชาชนทั้งหมดก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป |
๔๐. เมื่อกษัตริย์ข้ามแม่น้ำและเดินทางไปถึงกิลกาล กองทัพทั้งหมดของยูดาห์และครึ่งหนึ่งของกองทัพอิสราเอลนำกษัตริย์ข้ามแม่น้ำมา คิมฮามข้ามไปกับเขาด้วย |
๔๑. ต่อมาคนอิสราเอลทั้งหมดก็มาหากษัตริย์ และพูดกับเขาว่า “ทำไมชาวยูดาห์พี่น้องของพวกเราถึงได้ขโมยท่านไป ทำไมพวกเขาถึงได้นำตัวท่านและครอบครัวของท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับคนของเขา” |
๔๒. ชาวยูดาห์ทั้งหมดตอบคนอิสราเอลว่า “พวกเราทำไปเพราะกษัตริย์เป็นญาติสนิทกับพวกเรา ทำไมพวกท่านต้องโกรธด้วย พวกเราไปกินของอะไรของกษัตริย์หรือ พวกเราเอาอะไรของเขามาเป็นของพวกเราหรือ” |
๔๓. ชาวอิสราเอลจึงตอบคนยูดาห์ไปว่า “พวกเรามีส่วนแบ่งในกษัตริย์สิบส่วน และนอกจากนั้น พวกเรามีสิทธิ์ในดาวิดมากกว่าพวกท่าน แล้วทำไมพวกท่านถึงได้ดูถูกพวกเราอย่างนี้ พวกเราไม่ใช่พวกแรกหรือที่ได้พูดถึงการนำกษัตริย์กลับมา” แต่คำพูดของคนยูดาห์รุนแรงกว่าคำพูดของคนอิสราเอล |
๒ ซามูเอล ๒๐:๑-๒๖ |
๑. ตอนนั้น เผอิญมีอันธพาลอยู่คนหนึ่งชื่อเชบาลูกชายบิครีชาวเบนยามินอยู่ที่นั่น เขาเป่าแตรขึ้นและตะโกนว่า “พวกเราไม่มีส่วนแบ่งในดาวิด ไม่มีส่วนในลูกชายของเจสซี อิสราเอลเอ๋ย ขอให้ต่างคนต่างกลับไปยังเต็นท์ของตัวเองเถิด” |
๒. ดังนั้น คนอิสราเอล ทั้งหมดก็ทิ้งดาวิดไปติดตามเชบาลูกชายบิครี แต่คนยูดาห์ยังคงติดตามกษัตริย์ของพวกเขาไปตลอดทางจากแม่น้ำจอร์แดนถึงเมืองเยรูซาเล็ม |
๓. เมื่อดาวิดกลับถึงวังของเขาในเยรูซาเล็ม เขาได้นำตัวเมียน้อย สิบคนที่เขาเคยทิ้งไว้ให้ดูแลวังและให้พวกนางไปอยู่ในบ้าน หลังหนึ่งและให้คุมตัวไว้ เขายังดูแลพวกนาง แต่ไม่ได้นอนกับพวกนาง พวกนางถูกกักบริเวณและมีชีวิตอยู่อย่างแม่หม้ายจนตาย |
๔. แล้วกษัตริย์ก็พูดกับอามาสาว่า “รวบรวมคนยูดาห์มาหาเราภายในสามวัน และตัวท่านก็มาอยู่ด้วย” |
๕. แต่เมื่ออามาสาไปรวบรวมคนยูดาห์ เขาใช้เวลามากกว่าสามวันที่กษัตริย์ให้เวลาเขาไว้ |
๖. ดาวิดพูดกับอาบีชัยว่า “ตอนนี้ เชบาลูกชายบิครีจะเป็นอันตรายกับเรามากกว่าอับซาโลม เอาคนของเราไปตามล่าเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะหลบหนีพวกเราไปอยู่ในเมืองที่เป็นป้อมปราการได้” |
๗. ดังนั้นคนของโยอาบและชาวเคเรธีกับชาวเปเลท และนักรบที่แกร่งกล้าทั้งหมดได้ออกไปภายใต้การนำของอาบีชัย พวกเขาเดินทัพจากเมืองเยรูซาเล็มเพื่อไปตามล่าเชบาลูกชายบิครี |
๘. ในขณะที่พวกเขาอยู่ที่ก้อนหินใหญ่ในเมืองกิเบโอน อามาสาออกมาพบพวกเขา โยอาบกำลังสวมชุดทหารและมีดาบอยู่ในฝัก เหน็บอยู่ที่เข็มขัดข้างเอว เมื่อเขาก้าวออกมา ดาบก็หลุดออกจากฝัก |
๙. โยอาบพูดกับอามาสาว่า “พี่ชาย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” แล้วโยอาบก็เอามือขวาจับเคราของอามาสามาเพื่อที่จะจูบเขา |
๑๐. อามาสาไม่ทันป้องกันตัวจากดาบในมือของโยอาบ โยอาบก็แทงดาบเข้าที่ท้องเขา ไส้ทะลักลงมากองที่พื้น โดยไม่ต้องแทงซ้ำอีก อามาสาก็ตาย แล้วโยอาบและอาบีชัยน้องชายของเขาก็ไล่ตามเชบาลูกชายบิครี |
๑๑. คนของโยอาบคนหนึ่งยืนอยู่ข้างอามาสาและพูดว่า “ใครที่อยู่ฝ่ายโยอาบและฝ่ายดาวิด ตามโยอาบไป” |
๑๒. อามาสานอนตายจมกองเลือดอยู่กลางถนน และมีชายคนหนึ่งเห็นว่ากองทัพทั้งหมดที่เดินผ่านมาก็จะมาหยุดดูศพของอามาสา เมื่อเขาเห็นอย่างนั้น เขาจึงลากศพของอามาสาออกจากถนนไปทิ้งที่ทุ่งนาและเอาเสื้อปิดเขาไว้ |
๑๓. หลังจากที่ศพของอามาสาถูกย้ายออกจากถนนแล้ว คนทั้งหมดก็ไปกับโยอาบเพื่อตามล่าเชบาลูกชายบิครี |
๑๔. เชบาผ่านอิสราเอลทุกเผ่าไป จนในที่สุดได้มาถึงอาเบล-เบธ-มาอาคาห์และตระกูลของบิครี ได้มารวมตัวกันติดตามเขาไป |
๑๕. กองทัพทั้งหมดที่มากับโยอาบมาถึงที่อาเบล-เบธ-มาอาคาห์ และได้ล้อมเชบาไว้ที่นั่น พวกเขาได้สร้างเนินดินขึ้นติดกำแพงด้านนอก เพื่อปีนขึ้นบนกำแพง ขณะที่พวกเขากำลังทะลายกำแพงเพื่อให้มันพังลงมา |
๑๖. หญิงฉลาดผู้หนึ่งร้องเรียกพวกเขาจากในเมืองว่า “ฟังนะ ฟังนะ ช่วยเรียกโยอาบมาที่นี่หน่อย เรามีอะไรจะพูดกับเขา” |
๑๗. โยอาบจึงตรงไปหานางและนางก็ถามว่า “ท่านคือโยอาบหรือ” เขาตอบว่า “ใช่แล้ว เราเอง” นางพูดว่า “ฟังสิ่งที่ผู้รับใช้ท่านจะบอกกับท่านให้ดีนะ” เขาพูดว่า “เรากำลังฟังอยู่” |
๑๘. นางพูดต่อว่า “นานมาแล้ว เขาพูดกันว่า ‘ใครมีคำถามอะไร ก็ไปหาคำตอบได้ที่เมืองอาเบล’ และปัญหาก็จะถูกแก้ไขเรียบร้อย |
๑๙. ฉันเป็นคนหนึ่งในชาวอิสราเอลที่รักสงบและจงรักภักดีต่อชาติ พวกท่านกำลังพยายามจะทำลายเมืองที่เป็นเมืองแม่ของอิสราเอล ทำไมท่านจึงต้องกลืนกินสิ่งซึ่งเป็นของพระยาห์เวห์ด้วย” |
๒๐. โยอาบตอบว่า “เราไม่ได้คิดทำอย่างนั้น เราไม่ได้คิดที่จะกลืนหรือทำลายเมือง |
๒๑. มันไม่ใช่เรื่องนั้น มีชายคนหนึ่งชื่อเชบาลูกชายของบิครีมาจากเมืองในแถบเทือกเขาเอฟราอิม เขายกมือขึ้นต่อต้านกษัตริย์ คือต่อต้านดาวิด มอบตัวชายผู้นี้มา และเราจะถอนกำลังไปจากเมืองนี้” หญิงผู้นั้นพูดกับโยอาบว่า “หัวของเขาจะถูกโยนไปให้ท่านจากกำแพง” |
๒๒. แล้วหญิงคนนั้นก็ไปหาประชาชนทั้งหมดพร้อมกับคำแนะนำอันเฉลียวฉลาดของนาง และพวกเขาก็ตัดหัวเชบาลูกชายบิครีและโยนมันออกมาให้โยอาบ ดังนั้นโยอาบจึงเป่าแตรและคนของเขาก็ถอยออกจากเมืองนั้น แต่ละคนกลับบ้านของตนเอง และโยอาบก็กลับไปหากษัตริย์ในเยรูซาเล็ม |
๒๓. โยอาบควบคุมทั้งกองทัพของอิสราเอล เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาควบคุมชาวเคเรธีและชาวเปเลท |
๒๔. อาโดนีรัม ทำหน้าที่ควบคุมคนงาน เยโฮชาฟัทลูกชายอาหิลูดเป็นผู้จดบันทึก |
๒๕. เชวาเป็นเลขา ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นนักบวช |
๒๖. และอิราชาวยาอีร์เป็นนักบวชของดาวิด |
สดุดี ๖๗:๑-๗ |
๑. ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ใช้เครื่องดนตรีประกอบการร้อง บทเพลงสดุดี ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาและอวยพรพวกเราด้วยเถิด โปรดให้ใบหน้าของพระองค์ส่องสว่างมาบนพวกเราด้วยเถิด เซลาห์ |
๒. ขอให้ทางของพระองค์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ขอให้ทุกชนชาติรู้จักอำนาจที่จะช่วยให้รอดของพระองค์ |
๓. ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ชนชาติทั้งหลายสรรเสริญพระองค์ ขอให้ทุกชนชาติสรรเสริญพระองค์ด้วยเถิด |
๔. ชนชาติทั้งหลายควรชื่นชมยินดีและมีความสุข เพราะพระองค์ตัดสินพวกเขาอย่างยุติธรรม พระองค์ปกครองชนชาติทั้งหลายบนโลกนี้ เซลาห์ |
๕. ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ชนชาติทั้งหลายสรรเสริญพระองค์ ขอให้ทุกชนชาติสรรเสริญพระองค์ด้วยเถิด |
๖. แผ่นดินโลกนี้ให้ความอุดมสมบูรณ์ ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าของพวกเรา ขอโปรดอวยพรให้กับพวกเราต่อไป |
๗. ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดอวยพรพวกเรา และขอให้คนทั่วทุกมุมโลกยำเกรงพระองค์ |
สุภาษิต ๑๖:๓๓-๓๓ |
๓๓. คนจับสลากเพื่อหาคำตอบ แต่พระยาห์เวห์เป็นผู้กำหนดว่าสลากจะออกมายังไง |
สุภาษิต ๑๗:๑-๑ |
๑. มีแค่เปลือกขนมปังแห้งเป็นอาหารในที่เงียบสงบ ยังดีกว่าอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยงานเลี้ยงพร้อมกับการทะเลาะวิวาท |
ยอห์น ๘:๑-๒๗ |
๑. ส่วนพระเยซูก็กลับไปที่ภูเขามะกอกเทศ |
๒. ตอนเช้าตรู่พระองค์กลับไปที่วิหารอีกครั้งหนึ่ง คนทั้งหลายก็มาหาพระองค์ พระเยซูนั่งลงและเริ่มสั่งสอนผู้คน |
๓. พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีได้นำผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งปวง หญิงคนนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขาขณะมีชู้อยู่ |
๔. พวกเขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับได้ในขณะที่กำลังมีชู้อยู่ |
๕. ในกฎปฏิบัตินั้น โมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนที่ทำอย่างนี้ให้ตาย แล้วอาจารย์จะว่ายังไง” |
๖. (ที่พวกเขาถามอย่างนี้เพื่อจะให้พระองค์หลงกลและจะได้หาเรื่องฟ้องร้องพระองค์) พระเยซูได้แต่ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนไปมาบนพื้นดิน |
๗. แต่พวกนั้นก็ยังคะยั้นคะยอให้พระองค์ตอบ พระองค์จึงยืนขึ้นพูดว่า “พวกคุณคนไหนที่ไม่มีความผิดเลย ก็ให้เอาหินขว้างหญิงคนนี้เป็นคนแรก” |
๘. แล้วพระองค์ก็ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนบนพื้นดินต่อ |
๙. เมื่อได้ยินพระเยซูพูดอย่างนั้น พวกนั้นก็หลบไปทีละคนสองคน คนที่มีอายุมากที่สุดเริ่มเดินจากไปก่อนจนเหลือแต่พระเยซูกับหญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น |
๑๐. พระเยซูลุกขึ้น และถามหญิงคนนั้นว่า “พวกเขาไปไหนกันหมดแล้ว ไม่มีใครลงโทษคุณหรือ” |
๑๑. หญิงคนนั้นตอบว่า “ไม่มีค่ะ” แล้วพระเยซูก็พูดว่า “เราก็ไม่ลงโทษคุณเหมือนกัน ไปเถอะแล้วอย่าทำบาปอีก” |
๑๒. แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกที่ชุมนุมอยู่อีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ติดตามเรามาจะไม่เดินอยู่ในความมืด แต่จะมีความสว่างที่นำไปสู่ชีวิต” |
๑๓. ดังนั้นพวกฟาริสีจึงพูดกับพระองค์ว่า “แกพูดเองเออเอง คำพยานของแกเชื่อถือไม่ได้หรอก” |
๑๔. พระเยซูตอบว่า “ถึงแม้ว่าเราจะเป็นพยานให้กับตัวเอง สิ่งที่เราพูดก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าตัวเราเองมาจากไหนและกำลังจะไปไหน แต่พวกคุณไม่รู้ว่าเรามาจากไหนหรือกำลังจะไปไหน |
๑๕. คุณตัดสินเราตามวิธีของมนุษย์ เราไม่ได้ตัดสินใครแบบนั้น |
๑๖. แต่ถ้าเราจะตัดสิน คำตัดสินของเราก็ถูกต้องเพราะเราไม่ได้ตัดสินคนเดียว แต่เราตัดสินร่วมกับพระบิดาผู้ส่งเรามา |
๑๗. ในกฎปฏิบัติของคุณบอกว่า ถ้ามีพยานสองคนพูดตรงกันก็ถือว่าเป็นความจริง |
๑๘. เราเป็นพยานให้กับตัวเอง และพระบิดาที่ส่งเรามาก็เป็นพยานให้กับเราอีกผู้หนึ่ง” |
๑๙. พวกเขาจึงถามว่า “แล้วไหนล่ะพ่อของแกที่แกพูดถึง” พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่รู้จักเราหรือพระบิดาของเราหรอก เพราะถ้าคุณรู้จักเรา คุณก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” |
๒๐. ตอนที่พระเยซูพูดเรื่องนี้ พระองค์กำลังสอนอยู่ในห้องที่เขาใช้ตั้งตู้บริจาคในบริเวณวิหาร ไม่มีใครมาจับกุมพระองค์เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์ |
๒๑. พระเยซูพูดกับพวกประชาชนอีกว่า “พวกคุณจะตามหาเรา แต่จะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ที่ซึ่งเรากำลังจะไปนั้นพวกคุณไปไม่ได้” |
๒๒. พวกผู้นำชาวยิวจึงถามกันว่า “มันกำลังจะฆ่าตัวตายหรือยังไงถึงพูดว่า ‘ที่ซึ่งเราจะไปนั้น พวกคุณไปไม่ได้’” |
๒๓. พระเยซูพูดว่า “พวกคุณมาจากโลกข้างล่าง แต่เรามาจากข้างบน พวกคุณเป็นของโลกนี้ แต่เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ |
๒๔. เราถึงได้บอกว่า พวกคุณจะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ใช่แล้ว ถ้าคุณไม่เชื่อว่าเราเป็นคนๆนั้นที่เราบอกว่าเราเป็น คุณก็จะตายอยู่ในความบาป” |
๒๕. พวกยิวถามพระองค์ว่า “แล้วแกเป็นใครล่ะ” พระเยซูตอบว่า “เราเป็นคนๆนั้นที่เราได้บอกพวกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าเราเป็น |
๒๖. ความจริงแล้วเรามีหลายเรื่องที่จะต่อว่าพวกคุณ แต่เราจะพูดเฉพาะเรื่องที่เราได้ยินมาจากพระองค์ผู้ที่ส่งเรามาเท่านั้น และพระองค์ก็พูดความจริง” |
๒๗. (พวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังพูดถึงพระบิดา) |